วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558

อ้อ อย่างนั้นหรือ



หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีหญิงสาวคนหนึ่งท้อง พ่อแม่บังคับให้ลูกบอกว่าใครเป็นพ่อของเด็ก หญิงสาวทนพ่อแม่บีบคั้นไม่ได้ แต่กลัวไม่กล้าบอกว่าใครเป็นพ่อ เพราะพ่อกำลังโมโหถืออาวุธจะไปเอาเรื่องกับคนที่ตนรัก เลยโกหกไปว่าพ่อของเด็กเป็นพระอาวุโสรูปหนึ่งในวัดใกล้บ้าน พ่อแม่โมโหมากแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
เมื่อเด็กคลอดออกมา คนที่บ้านก็เอาเด็กไปหาพระอาวุโสรูปนี้ พระอาวุโสท่านทราบก็บอกเพียงว่า "อ้อ อย่างนั้นหรือ" แล้วก็รับเด็กไว้
ตั้งแต่นั้น พระอาวุโสรูปนี้ท่านก็รับเลี้ยงเด็กไว้ เวลาไปบิณฑบาตตามบ้านท่านก็เอาไปด้วยเพราะไม่มีคนเลี้ยง คนทั้งหมู่บ้านเห็นก็สงสัย ไปถามๆ กันต่อๆ พอทราบตามที่หญิงสาวโกหกไว้ ก็เป็นเดือดเป็นแค้น ไปก่นด่าพระอาวุโสรูปนั้นต่างๆ นาๆ อย่างหยาบคาย แล้วก็บอกว่าไม่ต้องมาบิณฑบาตที่หมู่บ้าน จะไม่มีใครใส่อาหารให้ ท่านก็บอกเพียงว่า "อ้อ อย่างนั้นหรือ"
ผ่านไป 1 ปี หญิงสาวก็ทนไม่ไหว รู้สึกผิดสำนึกละอายใจ จึงไปสารภาพกับพ่อแม่ว่า พ่อของเด็กเป็นอีกคนหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับพระอาวุโสรูปนั้นเลย
พ่อแม่หญิงสาวทราบตวามจริงก็ละอายใจมาก รีบไปพบพระอาวุโสรูปนั้น เพื่อขอโทษพระอาวุโสรูปนั้น และรับเด็กกลับมาเลี้ยง ท่านก็พูดเพียงว่า "อ้อ อย่างนั้นหรือ"
ชาวบ้านทราบเรื่องก็ละอายแก่ใจ มาขอโทษท่าน นิมนต์ให้ท่านกลับไปบิณฑบาตที่หมู่บ้านอีก ท่านก็พูดเพียงว่า "อ้อ อย่างนั้นหรือ"
พระอาวุโสรูปนี้ ท่านถูกกล่าวหาจนชาวบ้านไม่นับถือแถมยังก่นด่าใส่อย่างหยาบคาย แต่ท่านก็นิ่งรับเฉยๆ ไว้ เพราะเหตุใด?
หากบอกว่า "เพราะเมื่อท่านบวชเป็นพระ ชื่อเสียงเงินทองต่างเป็นของนอกกาย สรรพสิ่งล้วนหามีสาระให้ยึดมั่นได้ เด็กสาวเดือดร้อนต้องการปกปิดเรื่องของตน โกหกเพื่อปกป้องตัวเอง พ่อแม่และผู้คนต่างเข้าใจผิด แต่ท่านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร หากช่วยเด็กสาวให้พ้นวิกฤตได้ ช่วยชีวิตของเด็กทารกได้ เป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง" เป็นการกระทำที่เปี่ยมด้วยความเมตตาแก่คนทางโลก และมิได้ยึดมั่นไยดีกับโลกธรรม และผลของโลกวัชชะ ความคิดทางโลกอย่างสิ้นเชิง
ในชีวิตจริงตอนคนอื่นเข้าใจเราผิด เราต้องใช้เวลาอย่างมากในการอธิบายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเรา แต่มักไม่มีประโยชน์ ในอารมณ์นั้นมักไม่มีใครฟัง ไม่มีใครยอมฟัง ไม่มีใครเชื่อ คนเราทั่วไปส่วนมากมีแนวโน้มที่จะเชื่อกับข้อมูลที่ได้รับมาครั้งแรก โดยไม่ค่อยพิจารณาว่า ความจริงเป็นเช่นไร ใช้หลักจากการรับรู้ของตัวเอง มีตีความอนุมานและปักใจเชื่อแล้ว อีกนานกว่าเวลาจะทำให้มีสติพิจารณาข้อมูลมากขึ้น ณ เวลานั้นพูดไปก็ป่วยการ ยิ้มรับแล้วไปทำเรื่องอื่นดีกว่า
ในชีวิตจริง คนที่เขาเข้าใจคุณ ก็จะเข้าใจคุณตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพราะฟังคุณพูดครั้งเดียวก็เข้าใจคุณ แต่เขามีวิจารณญาณและประสบการณ์ที่ดี อ่านออกและเข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่คนที่ไม่เข้าใจและตัดสินคุณไปแล้ว คุณเปลี่ยนมันได้ยาก จนกว่าเขาจะได้ทราบข้อมูลแม้จริงแล้วเปลี่ยนความคิดด้วยตัวเขาเอง
ดังนั้น แทนที่เราจะต้องไปเสียเวลาในการแก้ตัวที่ไร้ประโยชน์ ไอ้ที่เสีย มันเสียอยู่แล้วเพราะเขาไม่มีทางที่จะมาทำความเข้าใจ ทำเรื่องที่ควรทำ ไปทำอะไรที่มีประโยชน์ในระยะยาวดีกว่า คนจะเข้าใจเราไปว่าเป็นอย่างไร ไม่สำคัญเท่าเราจะเลือกใช้ชีวิตเป็นอย่างไร
ได้รู้จักตัวเองแล้วจะไม่หวั่นไหวกับโลกธรรมทั้ง 8 และใช้ชีวิตอย่างสงบไม่รุ่มร้อน แม้อยู่ในท่ามกลางความรุ่มร้อนของผู้อื่น...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น