วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2562

แสงสีรุ้งจากพระปั



แยกกาย แยกใจ

แยกกายแยกใจได้ ใจจึงจะแยกออกมาเป็นผู้ดูกายได้ และเมื่อใจดูกายได้ ใจเราจะค่อยๆเห็นความจริงของกาย เป็นการเจริญปัญญาญาณ

ตัวปัญญาญาณจะไปละความยึดมั่นถือมั่นในกาย เพราะเห็นว่ากาย ไม่ใช่เรา , วิธีการ ให้หมั่นเห็นรู้สึกตัวที่กายบ่อยๆ หรือรู้ลมหายใจ รู้สึกตัวบ่อยๆ เมื่อเราดูกายบ่อยๆ เราจะเห็นกายแยกออกไปเอง

การเดินจงกรมก็จะช่วยให้แยกได้ง่ายขึ้นเร็วขึ้น เพราะการรู้สึกตัวดูกายขณะกายขยับ จะเห็นกายได้ง่ายได้ชัด โดยใจเรามาเป็นผู้ดูกาย ดูกายเดิน ดูกายขยับ ทําอย่างนี้ จะค่อยๆเห็นกายแยกออกไป

ลองเดินเหมือนกับว่าเราไม่ได้เป็นคนเดิน แต่ใจเราเป็นผู้ดู กายเดิน กายส่วนกาย ใจส่วนใจ ให้ทําสบายๆ อย่าไปเพ่งอย่าไปเกร็ง ทําสบายๆหลวมๆ ดูกายมันขยับดูกายมันเดิน ทําแบบนี้ จะเห็นมันแยกไปเองในที่สุดครับ

ภาพ วัดดอนทราย จ.ราชบุรี

การสร้างกำลังสติ

การจะเจริญอานาปานสติให้เกิดผลกับใจตนเองก้าวหน้าง่ายๆนั้น ไม่ใช่ทําแต่สมาธิอย่างเดียวจะเกิดได้ยาก ต้องใช้เวลามาก

แต่ทางลัดนั้นมี ให้หมั่นเจริญสติรู้สึกตัวบ่อยๆ เพราะสติเป็นตัวกํากับใจ ต้องใจที่รู้สึกตัวมีสติจึงจะเกิดสมาธิตั้งมั่นได้ ถ้าใจไม่รู้สึกตัว มันก็ขาดสติเผลอ

เผลอที่หลุดกันมี 2 อย่างคือ เผลอเพ่งจรดจ่อมากเกิน กับ เผลอเพลินไหลไม่รู้ตัว

แต่ไม่ว่าเผลออะไรก็เกิดเพราะขาดสติรู้สึกตัวทั้งนั้น ไปสังเกตุดู พระอรหันต์หลายท่านชอบเดินจงกรมกัน ควบคู่ไปกับการทําสมาธิ เพราะการเดินจงกรมเป็นการสร้างสติความรู้สึกตัว ไปกับการเดิน

เมื่อสติมีกําลังขึ้นมา จึงมาช่วยใจให้เกิดสมาธิจิตตั้งมั่น เกิดเป็นสมาธิได้อย่างง่ายๆ สัมมาสติกับสัมมาสมาธินั้นดุจดังเท้าซ้ายและขาว ที่ผลัดกันหนุนให้เกิดความก้าวหน้า

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562

นิมิตร คือ ดาบ 2 คม

นิมิต คือ ดาบ ๒ คม

สมัยหนึ่งท่านพ่อป่วยรักษาตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วพักที่วัดอโศการาม มีคณะอุบาสิกามาฝึกภาวนากับท่านทุกคืน

คืนวันหนึ่งมีอุบาสิกาคนหนึ่งปรารภกับท่านว่า ขณะที่นั่งภาวนานั้นก็รู้ตัวว่าใจไม่ได้วอกแวกไปไหน อยู่กับลมตลอดเวลา แต่ทำไมไม่มีนิมิตเหมือนเขาทั้งหลาย ทำให้รู้สึกน้อยใจเหมือนกัน

ท่านพ่อก็บอกว่า

“โยมโชคดีรู้หรือเปล่า คนที่มีนิมิตเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามารบกวนอยู่เรื่อย ส่วนโยมไม่มีกรรมอะไรมาตัดรอน ทำใจได้เลย ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องภายนอก
ไม่ต้องไปอัศจรรย์พวกที่เขามีนิมิตหรอก นิมิตก็คือฝันนั้นเอง ที่จริงก็มี ไม่จริงก็มี เอาแน่นอนไม่ได้"

โยมคนหนึ่งนั่งฟังคนอื่นพูดกันว่า การนั่งสมาธิโดยไม่มีนิมิตคือทางสายตรง พอดีโยมคนนั้นมีนิมิตบ่อยๆ จึงเกิดสงสัยว่า

“ทำไมทางเราขดๆ เคี้ยวๆ" เมื่อไปถามท่านพ่อ ท่านก็ตอบว่า

“เรามีนิมิตก็เหมือนเรามีผักตำลึงที่งามๆ อยู่ริมทาง เราก็เดินไปเราก็เก็บไปบ้าง เพื่อมีของกินข้างหน้า เราก็ถึงเหมือนกันส่วนเขาอาจจะเห็นแต่ไม่เก็บ หรืออาจจะไม่เห็นก็ได้เพราะทางเขากันดาร”

“นิมิต หรือสิ่งที่มาปรากฏให้เราเห็นเวลาภาวนาจิตสงบไม่ใช่ว่าจะไม่ให้สนใจเอาเสียเลย เพราะมีนิมิตบางอย่างเราก็ต้องสนใจบ้าง ฉะนั้น เมื่ออะไรมาปรากฏ บางครั้งเราก็ต้องดูว่าปรากฏทำไม เพราะอะไร เพื่ออะไร”

คนที่มีนิมิต ดาบ ๒ คม อยู่ในมือ ต้องใช้ให้ดี สิ่งที่เข้ามาประโยชน์มันก็มี โทษมันก็มี ฉะนั้น เราต้องรู้จักคั้น เอาแต่ประโยชน์จากเขา”

ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก
จากหนังสือยาใจ อนุสรณ์พระครูญาณวิศิษฏ์

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เพราะใจไม่มีหลักเป็นเครื่องอยู่ จึงไหลออกไปสู่กระแสของตัณหา

เพราะใจไม่มีหลักเป็นเครื่องอยู่
จึงไหลออกไปสู่กระแสของตัณหา
ความต้องการและไม่ต้องการจึงตามมา
เลยตกอยู่ใต้อำนาจของเวลาและอารมณ์
ถ้าใจได้หลักเป็นเครื่องอยู่ จะนิ่งอยู่รู้อยู่สิ้นกังขา
เห็นอริยสัจ 4 ตามสติปัญญา จึงหยุดตามล่าหาพระอาจารย์

ผู้ที่รู้เข้าใจอริยสัจ 4 แล้วย่อมไม่ตามล่าหาพระอาจารย์ ก็คือรู้ที่มาของเหตุให้ทุกข์เกิด ว่าเกิดจากอะไร เวลามันดับเพราะอะไร รู้ทางดำเนินแล้วว่า ทุกข์เกิดจากตัณหา ความอยากความต้องการให้โลกเขาเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนี้ เมื่อไม่เป็นตามใจอยาก อะไรจะเกิดตามมา... หงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ ก็เพราะใจยังไม่มีหลักจึงได้หลุดไหลไปตามกระแสของ อวิชชา ปัจจยาสังขารา ถูกมันหลอกให้ออกไปปรุง วิตก วิจารณ์ ความต้องการและไม่ต้องการก็เข้ามาครอบจิตโดยอัตโนมัติก็เป็นอย่างที่โลกเขาเป็นกัน แต่ถ้าใจได้หลักแล้วจะอยู่กับปัจจุบันขณะ มีสติเป็นเครื่องระลึกรู้อยู่ทุกขณะเวลา กระทบผัสสะอายตนะทั้ง 6 จิตรู้เท่าทัน ไม่ส่งออกนอก ตัณหาก็ไม่มีโอกาสเข้ามาครอบงำได้ ก็อยู่เป็นปกติในปัจจุบันธรรมนี้เอง...! ทิฎฐิวิสุทธิ-กังขาวิตรณวิสุทธิ

.
จากหนังสือ ปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม
พระอาจารย์เรวัติ  สุปภาโต
สำนักสงฆ์พุทธเจดีย์คีรีเขต

การพิจารณาไตรลักษ์

$$. การพิจารณาไตรลักษณ์

       กฎของไตรลักษณ์ เป็นกฎความเป็นไปแห่งธรรมชาติ มีอยู่ ๓
อย่างคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

      "อนิจจัง" คือความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมนามธรรม เช่นเมื่อยังไม่เกิดก็เกิดขึ้นได้ เมื่อเกิดแล้วก็แปรเปลี่ยนไปได้ เช่นอยู่ดีๆก็มีเรื่องราวที่ทำให้กลุ้มใจเกิดขึ้น ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเลย หรือเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็แปรเปลี่ยนไปหรือดับไป  สิ่งของทุกอย่างเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วจะคงสภาพเดิมอยู่นานๆไม่ได้  ต้องแปรเปลี่ยนไป เรียกว่าไม่เที่ยง คืออนิจจัง  เช่นจิตเป็นสมาธิ  นานไปจิตก็เสื่อมจากสมาธิ  เรียกว่าความสงบนั้นไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง เมื่อทราบแล้วก็ปล่อยวางมันเสีย มันเป็นเช่นนี้เอง อย่าไปสงสัยมัน

"ทุกขัง" คนส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดว่าเป็นอารมณ์แห่งความทุกข์ แต่ไม่ใช่ ทุกขังคือความแตกสลายไป หรือดับไป เช่นแก้ว นานๆไปแก้วนั้นก็เปลี่ยนไปคืออนิจจัง เอาเวลามาจับ เมื่อเปลี่ยนไปจากแก้วเป็นแก้วแตก แก้วแตกเป็นทุกขัง คือแก้วแตกสลายไป ความสุข ความทุกข์ เกิดกับเราแล้ว ไม่นานมันก็ดับไป เพราะมันแตกสลายไปคือทุกขัง เรียกความสุขหรือความทุกข์เหล่านั้นว่า มันทุกขัง เวทนาทุกเวทนา ในที่สุดก็รวมลงไปที่ทุกขังคือแตกสลายไปทั้งนั้น ไม่คงเวทนาเดิมไว้เลย
ดังนั้นทุกขังก็คือการแตกสลายไปหรือดับไปจากสภาพเดิมของมัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น รวมลงไปหาทุกขังหมด ไม่มีอะไรจะไม่ทุกขัง ถ้าเกิดก็คือตัวสมุทัย เหตุแห่งทุกขังนั่นเอง ทราบแล้วไม่เบื่อหน่ายหรือทุกขัง อะไรๆก็ทุกขังหมด
อยากเกิดอยู่อีกหรือ เกิดเมื่อใดทุกขังเมื่อนั้น เห็นแล้วก็ปล่อยวางมันเสีย

     "อนัตตา"
หมายถึง สิ่งที่ไม่มีตัวตนที่แน่นอน คือไม่มีอัตตา  เช่นแก้วเป็นอัตตา   แก้วแตกเพราะเกิดจากอนิจจัง    ทุกขัง  เหลือแต่เศษแก้ว  ในที่สุดก็กลายเป็นธาตุดินไป  ไม่เหลือแก้วหรืออัตตาให้เห็นเลยเราจึงเรียกว่าอนัตตา  อีกตัวอย่างหนึ่ง  คนเราเป็นอัตตา  แก่ตัวเป็นอนิจจัง   ตายไปเอาไปเผาแตกสลายเป็นทุกขัง  แล้วก็ไม่เหลือคำว่าเป็นคนอยู่อีกเลยเรียกว่าอนัตตา  นามธรรมก็เช่นเดียวกัน  เมื่อรูปธรรมและนามธรรม เกิดขึ้นย่อมมีความเป็นอนิจจังตามมาแล้วทุกขัง เหลือแต่สภาพเดิมๆของมันคือ ธาตุดิน  ธาตุน้ำ  ธาตุไฟ  ธาตุลม  ไม่เหลือกลุ่มก้อนเดิมที่จะให้สมมุติเป็นนั่นเป็นนี่เหลือให้เห็นอยู่อีกเลย จึงเรียกว่าอนัตตา เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ของของเรา (เนตังมะมะ) ไม่ใช่เรา(เนโสมหมัสมิ) ไม่ใช่ตัวตนของเรา (นเมโสอัตตา)

อนัตตาเป็นสิ่งที่ห้ามได้ยาก ไม่อยู่ใต้อำนาจของเรา เพราะมันจะก่อตัวจับกันเป็นอะไรก็ได้ แตกสลายก็ได้ เพราะมันเป็นธรรมธาตุทั้ง ๔
เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่ไม่รู้ความหมายในตัวของมันเอง ธรรมธาตุทั้ง ๔  ดิน  น้ำ  ไห  ลม  มันไม่รู้ความหมายในตัวของมันเอง  เมื่อมันมารวมกันเป็น ต้นไม้ สิ่งของต่างๆ แขน ขา รูป เสียง กลิ่น รส อารมณ์ต่างๆ ความร้อนความหนาว สิ่งเหล่านี้มันก็ไม่รู้ความหมายของมันเอง เป็นอนัตตา ถามมันดูซิ มันรู้ความหมายในตัวของมันไหม มันเป็นของของเราไหม เป็นตัวเราไหม เป็นตัวตนของเราไหม เวลามันจะเปลี่ยนเราห้ามมันได้ไหม นั่นแหละคืออนัตตา ทราบแล้วก็ปล่อยวางมันเสีย มันเป็นของที่เกิดมาประจำโลกอยู่แล้ว ไม่เป็นของของใคร ไม่มีเจ้าของ อารมณ์โลภ อารมณ์โกรธ อารมณ์หลง ก็มีประจำโลกอยู่แล้ว เราพึ่งเกิดมาเจอมันไม่กี่ปีกี่เดือนนี้เอง อย่าเชยนักซิ
ปล่อยวางให้อยู่ประจำโลกมันเสีย
อนัตตา คือธรรมะ ธรรมะ คือธรรมชาติล้วนๆ เป็นธรรม เมื่อมีผู้มาสมมติสิ่งในธรรมชาติขึ้นมาเพื่อจดจำเพื่อให้จำได้สิ่งเหล่านี้เลยกลายเป็นอัตตาตัวตนไป จึงกลายเป็นโลก ดังนั้นโลกคือธรรมที่ถูกสมมติ
ขึ้น แล้วหลงจึงเกิดตัณหาตามมา

.....ขออวยพร......

เมื่อหลวงปู่มั่นเตือนหลวงปู่ขาวยามเป็นไข้

เมื่อหลวงปู่มั่นเตือนหลวงปู่ขาวยามเป็นไข้

แรก ๆ ได้อาศัยท่านอาจารย์มั่นคอยให้อุบายเสมอในเวลาเป็นไข้ โดยยกเรื่องท่านขึ้นเป็นพยานว่า ท่านจะได้กำลังใจสำคัญ ๆ ทีไร ต้องได้จากการเจ็บป่วยแทบทั้งสิ้น เจ็บหนัก ป่วยหนักเท่าไร สติปัญญายิ่งหมุนตัวดีและรวดเร็วไปกับเหตุการณ์นั้นๆ ที่เกิดขึ้นในเวลาเจ็บป่วย โดยไม่ต้องถูกบังคับให้พิจารณาและไม่สนใจกับความหมายหรือความตายอะไรเลย นอกจากจะพยายามให้รู้ความจริงของทุกขเวทนาทั้งหลายที่เกิดขึ้นและโหมเข้ามาในเวลานั้น ด้วยสติปัญญาที่เคยฝึกหัดอยู่เป็นประจำจนชำนิชำนาญ
บางครั้งท่านอาจารย์มั่นมาเตือนขณะเป็นไข้ เป็นเชิงปัญหาเหน็บๆ ว่า

ท่านเคยคิดไหมว่า ท่านเคยทุกข์ก่อนจะตาย ทุกข์มากยิ่งกว่าทุกข์ที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้ในภพชาติที่ผ่าน ๆ มา เพียงทุกข์ในเวลาเป็นไข้ธรรมดา ซึ่งโลก ๆ เขาก็ได้เรียนธรรมเขายังพออดทนได้ บางรายเขายังมีสติดีมีมรรยาทงามกว่าพระเราเสียอีก คือเขาไม่แสดงอาการทุรนทุรายกระสับกระส่าย ร้องครางทึ้งเนื้อทึ้งตัว เหมือนพระบางองค์ที่แย่ ๆ สิ่งไม่น่าจะมีแฝงอยู่ในวงพุทธศาสนาเลย และไม่น่าจะมีเพราะจะทำศาสนาให้เปื้อนเปรอะไปด้วย แม้เจ็บมากทุกข์มากเขายังมีสติควบคุมมรรยาทให้อยู่ในความพอดีงามตาได้อย่างน่าชม

ผมเคยเห็นฆราวาสป่วยมาแล้ว โดยลูก ๆ เขามานิมนต์ผมเข้าไปเยี่ยมพ่อเขา เวลาจวนตัวจะไปไม่รอด พ่อเขาอยากพบเห็นและกราบไหว้ในวาระสุดท้ายพอเป็นขวัญใจระลึกได้ เวลาจะแตกดับจริง ๆ ขณะเราเข้าถึงบ้าน พ่อเขาพอมองเห็นเรากำลังก้าวเข้าไปที่เตียงนอนเท่านั้น ทั้งที่กำลังป่วยหนัก ปกติลุกนั่งคนเดียวไม่ได้ต้องช่วยพยุงกัน แต่ขณะนั้นเขายังสามารถลุกพรวดพราดขึ้นคนเดียวได้ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเต็มที่ ไม่มีอาการไข้และป่วยหนักใด ๆ ปรากฏเหลืออยู่พอให้ทราบได้ว่าเขาป่วยหนักเลย ทั้งกราบทั้งไหว้ด้วยความรื่นเริงบันเทิงในจิตใจและมรรยาทที่อ่อนน้อมสวยงาม จนใคร ๆ ในบ้านเกิดพิศวงงงงันไปตาม ๆ กันว่า เขาลุกขึ้นมาโดยลำพังคนเดียวได้อย่างไร เมื่อปกติแม้จะพลิกตัวเปลี่ยนการนอนท่าต่าง ๆ ก็ได้ช่วยกันอย่างเต็มไม้เต็มมือ เพราะความระมัดระวังกลัวจะถูกกระทบกระเทือนมากและอาจสลบหรือตายไปเสียในขณะนั้นแต่พอเห็นท่านเข้ามากลับเป็นคนใหม่ขึ้นมาจากคนไข้ที่จวนจะตายอยู่แล้ว จึงอัศจรรย์ไม่เคยเห็นดังนี้ และชาวบ้านพูดกับผมว่า เขาตายไปหลังจากเวลาที่ผมออกมาไม่นานนักเลย ด้วยความมีสติตลอดเวลาสิ้นลมหายใจ และไปอย่างสงบประสบสุคโตไม่ผิดพลาด
ส่วนท่านเองไม่เห็นเป็นไข้หนักถึงขนาดนั้น ทำไมนอนใจไม่พิจารณา หรือมันหนักด้วยความอ่อนแอทับถมจิตใจ จึงทำให้ร่างกายอ่อนเปียกไปด้วย พระกรรมฐานถ้าขืนเป็นกันลักษณะนี้มาก ๆ ศาสนาต้องถูกตำหนิ กรรมฐานต้องล่มจม ไม่มีใครสามารถทรงไว้ได้เพราะมีแต่คนอ่อนแอ กรรมฐานอ่อนแอ คอยแต่ขึ้นเพียงให้กิเลสมันสับเอายำเอา สติปัญญาพระพุทธเจ้าท่านมิได้ประทานไว้สำหรับคนขี้เกียจอ่อนแอโดยนอนเฝ้านั่งเฝ้าไข้อยู่เฉย ๆ ไม่คิดค้นพิจารณาด้วยธรรมดังกล่าวเลย
การหายไข้หรือทางตายของผู้อ่อนแอไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย สู้หนูตายตัวเดียวก็ไม่ได้ ท่านอย่านำลัทธิและวิชาหมูนอนคอยเขียงอยู่เฉย ๆ มาใช้ในวงศาสนาและวงพระกรรมฐาน ผมอายฆราวาสผู้เขาดีกว่าพระและอายหนูตัวที่ตายแบบเรียบ ๆ ซึ่งดีกว่าพระที่เป็นไข้แล้วอ่อนแอและตายไปด้วยความไม่มีสติปัญญารักษาตัว
ท่านลองพิจารณาดูว่าสัจธรรมมีทุกขสัจเป็นต้น ที่ปราชญ์ท่านว่าเป็นธรรมของจริงสุดส่วน นั้นจริงอย่างไรบ้าง และจริงอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือจริงอยู่ที่ความประมาทอ่อนแอ ดังที่พากันเสริมสร้างอยู่เวลานี้ นั่นคือการเสริมสร้างสมุทัยทับลมจิตใจให้โงหัวไม่ขึ้นต่างหาก มิได้เป็นทางมรรค เครื่องนำให้หลุดพ้นแต่อย่างใดเลย
ผมที่กล้ายืนยันว่าเคยได้กำลังใจในเวลาป่วยหนักนั้น ผมพิจารณาทุกข์ที่เกิดกับตัว จนเห็นสถานที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ และดับไปของมันอย่างชัดเจนด้วยสติปัญญาจริง ๆ จิตที่รู้ความจริงของทุกข์แล้วก็สงบตัวลงไม่แสดงการส่ายแส่แปรสภาพไปเป็นอื่น นอกจากดำรงตนอยู่ในความจริงและเป็นหนึ่งอยู่เพียงดวงเดียว ไม่มีอะไรมารบกวนลวนลามเท่านั้น ไม่เห็นความแปลกปลอมใด ๆ เข้ามาเคลือบแฝงได้เลย ทุกขเวทนาก็ดับสนิทลงในเวลานั้น แม้ไม่ดับก็ไม่สามารถทับจิตใจเราได้ คงต่างอันต่างจริงอยู่เพียงเท่านั้น นี่แลที่ว่าสัจธรรมเป็นของจริงสุดส่วน จริงอย่างนี้เองท่าน คือท่านอยู่ที่จิตดวงมีสติปัญญารอบตัวเพราะการพิจารณา มิใช่เพราะอ่อนแอ เพราะนั่งทับนอนทับสติปัญญาเครื่องมือที่ทันกันกับทางแก้กิเลสอยู่เฉย ๆ
ผมจะเปรียบเทียบให้ท่านฟัง หินนั้นปาหัวคนก็แตก ทับหัวคนก็ตายได้แต่นำมาทำประโยชน์เช่นเป็นหินลับมีดหรืออะไร ๆ ก็ได้ ตามแต่คนโง่จะนำมาทำลายสังหารตน หรือคนฉลาดจะนำมาทำเป็นหินลับมีดหรืออื่น ๆ เพื่อประโยชน์แก่ตนตามต้องการ สติปัญญาก็เช่นกัน จะนำไปใช้ในทางผิดคิดไตร่ตรองในทางไม่ชอบ ฉลาดประกอบอาชีพในทางผิด เช่น ฉลาดหาอุบายฉกลักปล้นจี้เขา เร็วยิ่งกว่าลิงจนตามไม่ทัน ก็ย่อมเกิดโทษเพราะนำสติปัญญาไปใช้ในทางที่ผิด จะนำสติปัญญามาใช้เป็นการอาชีพในทางที่ถูก เช่น คิดปลูกบ้านสร้างเรือน เป็นช่างไม้ช่างเขียนช่างแกะลวดลายต่าง ๆ เป็นต้น หรือจะนำมาใช้แก้กิเลสตัณหาตัวเหนียวแน่นแก่นวัฏฏะ ที่พาให้เวียนเกิดเวียนตายอยู่ ไม่หมดจนหมดสิ้นไปจากใจ กลายเป็นความบริสุทธิ์ถึงวิมุตติพระนิพพานทั้งเป็น ในวันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ชาตินี้ ก็ไม่เหลือวิสัยของมนุษย์จะทำได้ ดังที่ท่านผู้ฉลาดทำได้กันมาแล้ว แต่ต้นพุทธกาลจนถึงปัจจุบันคือวันนี้
ปัญญาย่อมอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้สนใจใคร่ครวญไม่มีทางสิ้นสุด.เพราะสติกับปัญญาไม่เคยจนตรอกหลอกตัวเองแต่ไหนแต่ไรมา พอจะทำให้กลัวว่า ตนจะมีสติปัญญามากเกินไป จะกลายเป็นคนดีซ่านผลาญธรรมประคองตัวไปไม่รอด และจอดจมในกลางคัน
สติปัญญานี้ ปราชญ์ท่านชมว่า เป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดอย่างออกหน้าออกตาแต่ดึกดำบรรพ์มาไม่เคยล้าสมัย ท่านจึงควรคิดค้นสติปัญญาขึ้นมาเป็นเครื่องป้องกันและทำลายข้าศึกอยู่ภายในให้สิ้นซากไป จะเห็นใจดวงประเสริฐว่ามีอยู่กับตัวแต่ไหนแต่ไรมา
การสอนท่านด้วยธรรมเหล่านี้ ล้วนเป็นธรรมที่ผมเคยพิจารณาและได้ผลมาแล้ว มิได้สอนแบบสุ่มเดาเกาหาที่คันไม่ถูก แต่สอนตามที่รู้ที่เห็นที่เคยเป็นมาไม่สงสัย ใครที่อยากพ้นทุกข์ แต่กลัวทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตนไม่ยอมพิจารณา ผู้นั้นไม่มีวันพ้นทุกข์ไปได้ เพราะทางไปนิพพานต้องอาศัยทุกข์กับสมุทัยเป็นที่เหยียบย่างไปด้วยมรรคเครื่องดำเนิน พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์ทุก ๆ พระองค์ ท่านสำเร็จมรรคผลนิพพานด้วยสัจธรรมสี่กันทั้งนั้น ไม่ยกเว้นแม้องค์เดียว ว่าไม่ได้ผ่านสัจธรรมสี่โดยสมบูรณ์
ก็เวลานี้มีสัจจะใดบ้างที่กำลังประกาศความจริงของตนอยู่ในกายในใจท่านอย่างเปิดเผย ท่านจงพิจารณาสัจจะนั้นด้วยสติปัญญาให้รู้แจ้งตามความจริงกองสัจจะนั้น ๆ อย่านั่งเข้านอนเฝ้ากันอยู่เฉย ๆ จะกลายเป็นโมฆบุรุษในวงสัจธรรม ซึ่งเคยเป็นของจริงมาดั้งเดิม
ถ้าพระธุดงคกรรมฐานเราไม่สามารถอาจรู้ความจริงที่ประกาศอยู่กับตนอย่างเปิดเผยได้ ก็ไม่มีใครจะสามารถอาจรู้ได้ เพราะวงพระกรรมฐานเป็นวงที่ใกล้ชิดสนิทกับสัจธรรมอยู่มากกว่าวงอื่น ๆ ที่ควรจะรู้เห็นได้ก่อนใครหมด วงนอกจากนี้แม้จะมีสัจธรรมประจำกายประจำใจด้วยกันก็จริง แต่ยังห่างเหินต่อการพิจารณาอันเป็นทางรู้แจ้งผิดกัน เนื่องจากเพศ และโอกาสที่จะอำนวยต่างกัน เฉพาะพระธุดงคกรรมฐานซึ่งพร้อมทุกอย่างแล้วในการดำเนินและเดินก้าวเข้าสู่ความจริงที่ประกาศอยู่กับตัวทุกเวลา ถ้าท่านเป็นเลือดนักรบสมนามที่ศาสดาทรงขนานให้ว่าศากยบุตรพุทธชิโนรสจริง ๆ แล้ว ท่านจงพยายามพิจารณาให้รู้แจ้งสัจจะคือทุกขเวทนาที่กำลังประกาศตัวอยู่อย่างโจ่งแจ้งเปิดเผยในกายในใจท่านเวลานี้ อย่าปล่อยให้ทุกขเวทนาเหยียบย่ำทำลายและกาลเวลาผ่านไปเปล่า
ขอให้ยึดความจริงจากทุกขเวทนาขึ้นสู่สติปัญญา และตีตราประกาศฝังใจลงอย่างแน่นหนา แต่บัดนี้เป็นต้นไปว่า ความจริงสี่อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้ตลอดมานั้น บัดนี้ทุกขสัจได้แจ้งประจักษ์กับสติปัญญาเราแล้วไม่มีทางสงสัย นอกจากจะพยายามเจริญให้ความจริงนั้น ๆ เจริญยิ่งขึ้นโดยลำดับ จนหายสงสัยโดยสิ้นเชิงเท่านั้น
ถ้าท่านพยายามดังที่ผมสั่งสอนนี้แม้ไข้ในกายท่านจะกำเริบรุนแรงเพียงไร ท่านเองจะเป็นเหมือนคนมิได้เป็นอะไร คือใจท่านมิได้ไหวหวั่นสั่นสะเทือนไปตามอาการแห่งความสุขความทุกข์ที่เกิดขึ้นในกายนั่นเลย มีแต่ความภาคภูมิใจที่สัมผัสสัมพันธ์กับความที่ได้รู้แล้วเห็นแล้วโดยสม่ำเสมอ ไม่แสดงอาการลุ่ม ๆ ดอน ๆ เพราะไข้กำเริบหรือไข้สงบตัวลงแต่อย่างใด
นี่แลคือการเรียนธรรมเพื่อความจริง ปราชญ์ท่านเรียนกันอย่างนี้ ท่านมิได้ไปปรุงแต่งเวทนาต่าง ๆ ให้เป็นไปตามความต้องการ เช่นอยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ตามชอบใจ ซึ่งเป็นการสั่งสมสมุทัยให้กำเริบรุนแรงยิ่งขึ้น แทนที่จะเป็นไปตามใจชอบ ท่านจงจำไว้ให้ถึงใจ พิจารณาให้ถึงอรรถถึงธรรม คือความจริงที่มีอยู่กับท่านเอง ซึ่งเป็นฐานะที่ควรรู้ได้ด้วยตนเองแต่ละราย ๆ ผมเป็นเพียงผู้แนะอุบายให้เท่านั้น ส่วนความเก่งกาจอาจหาญ หรือความล้มเหลวใด ๆ นั้นขึ้นอยู่กับผู้พิจารณาโดยเฉพาะ ผู้อื่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
เอานะท่าน จงทำให้สมหน้าสมตาที่เป็นลูกศิษย์มีครูสั่งสอน อย่านอนเป็นที่เช็ดเท้าให้กิเลสขึ้นย่ำยีตีแผ่ได้ จะแย่และเดือดร้อนในภายหลัง จะว่าผมไม่บอก

จากประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ
โดยพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน