วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

พระพุทธเจ้า 2/2

พระพุทธเจ้า 2/2 เมื่อเห็นว่ามันไม่เที่ยงแล้วว่า มีเกิด... มีดับ... ย่อมเบื่อหน่ายในรูปในสัมผัส... เมื่อเบื่อหน่ายก็คลสยกำหนัด... เมื่อคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น... เมื่อหลุดพ้นแล้ว... ก็ไม่มีชาติ... ไม่มีภพอีกต่อไป จากนั้นปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้บรรลุอรหันต์ รวมกันทั้ง ๕ พระองค์ตามลำดับ ขอยกตัวอย่างอีกสูตรหนึ่ง ยสะ... เป็นบุตรเศรษฐีแห่งเมืองพาราณสีมีความเป็นอยู่อย่างสุขสมบูรณ์ วันหนึ่งเห็นสภาพในห้องนอนของตนเองเป็นเหมือนป่าช้า เกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย จึงหนีออกจากบ้าน ยสะ... เกิดความเบื่อหน่ายจึงเดินไปด้วยและพูดไปด้วยว่า...ที่นี่วุ่นวายหนอ... ที่นี่น่าเบื่อหนอ... ที่นี่วุ่นวายหนอ... ที่นี่น่าเบื่อหนอ เมื่อเดินทางไปพบพระพุทธเจ้าที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในเวลาใกล้รุ่งพระพุทธเจ้าตรัสตอบ ยสะ ว่า...ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ... ที่นี่ไม่น่าเบื่อหนอ... มากับเราสิแล้วเราจะแสดงธรรมให้เธอฟัง หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ โปรด ยสะ มีความดังนี้... การยึดมั่นถือมั่นในตัวของตัว คือ ขันธ์ ๕ เช่นการติดในรูป... ติดในกาม... ติดในรูปสมบัติ... ทรัพย์สมบัติ... เป็นทุกข์ทั้งปวง ถ้าเธอออกบวชจะเกิดอนิสงค์ คือ ทุกข์ทั้งหลายนี้จะหมดไป ทุกข์อื่นจะไม่เกิดขึ้น จากนั้นพระพุทธเจ้าก็สอนการพิจารณาการสัมผัสที่...ตา... หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ... หลังจากฟังการเทศนาธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ยสะ ก็มีดวงตาเห็นธรรม คือบรรลุเป็นโสดาบันบุคคล ต่อมาเศรษฐีผู้เป็นบิดาออกตามหา ยสะ พอมาพบรองเท้าก็จำได้ว่านี่คือรองเท้าของ ยสะ นี่ จึงเข้่าไปหาพระพุทธเจ้าแล้วถามพระพุทธเจ้าว่า... เรามาตามหาบุตรชื่อ ยสะ ไม่ทราบว่าท่านเห็นบุตรชายของข้าพเจ้าหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสตอบเศรษฐีว่า... ดูก่อนท่านเศรษฐีขอให้ท่านจงรับฟังการเทศนาธรรมจากเราก่อน... แล้วเราจะให้ท่านได้พบกับลูกชายของท่าน ความจริงแล้ว ยสะ ก็นั่งอยู่ใกล้ๆกับเศรษฐีนั่นเอง คือด้วยฤทธิ์ของพระพุทธเจ้าที่ยังไม่ให้ เศรษฐีได้พบกับลูกชายของตัวเองก็เพราะว่า... จะเป็นอุปสรรคแก่การบรรลุธรรม ของทั้งสองคน หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมให้กับเศรษฐี เหมือนกับการแสดงธรรมให้กับ ยสะ ในตอนแรก พอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมจบแล้ว ท่านเศรษฐีผู้เป็นบิดาของ ยสะ ก็มีดวงตาเห็นธรรมได้เป็นโสดาบันบุคคล ส่วน ยสะ ก็ได้ฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงให้กับบิดาของตัวเองเป็นครั้งที่สอง จึงบรรลุเป็นอรหันต์สาวกองค์ที่ ๖ ของพระพุทธเจ้าในขณะนั้นเอง หลังจาก ยสะ ขอบวชเป็นพระมหาสาวกองค์ที่ ๖ ของพระพุทธเจ้า ก็มีชื่อเต็มว่า... พระยสกุลบุตร มีพระสหายที่เป็นบุตรของเศรษฐีเหมือนกันมีอยู่ ๔ คน คือ... ๑. สุพาหุ... ๒. วัมละ... ๓. ปุณณชิ... ๔. ควัมปติ พอได้ทราบข่าวว่าพระยสกุลบุตรออกบวชจึงขอออกบวชตาม พอได้บวชแล้วพระพุทธเจ้าทรงแสดงเทศนาธรรมให้ฟังมีดังนี้... ท่านทั้งหลายเมื่อใดที่ท่านรู้จักอกุศลและรากเหง้าของอกุศล รู้จักชราและมรณะ รู้จักเหตุเกิดแห่งชราและมรณะ... รู้จักความดับแห่งชราและมรณะ... รู้จักทางที่ดับเหตุแห่งชราและมรณะ... รู้จักทุกข์... รู้จักเหตุที่ให้เกิดทุกข์... รู้จักทางที่จะปฏิบัติให้ดับทุกข์... ด้วยเหตุที่รู้เพียงเท่านี้ก็เรียกว่าเป็น สัมมาทิฏฐิ พอพระสหายทั้ง ๔ ของพระยสะได้ฟังการเทศนาธรรมของพระพุทธเจ้าจบแล้ว ก็มีดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๔ พระองค์ อธิบายต่อเลยนะครับ สัมมาทิฏฐิ ในที่นี้หมายถึง สัมมามรรคในองค์ ๘ หรือมรรคมีองค์ ๘ สัมมาทิฏฐิ คือเห็นชอบนั่นเอง การเห็นชอบคือ เห็นความจริงของโลกและชีวิตนั่นเอง การเห็นความจริงของโลกและชีวิตก็คือ เห็นความไม่เที่ยง... มีเกิด... มีดับ เห็นความไม่เที่ยง... มีเกิดมีดับของโลกก็คือ เห็นการสัมผัสของโลกทางตา... โลกทางหู... โลกทางจมูก... โลกทางลิ้น... โลกทางกาย... โลกทางใจ ว่าสัมผัสแล้วมันไม่เที่ยง... มีเกิด... มีดับ...เป็นธรรมดา ส่วนการเห็นความจริงของชีวิตก็คือ เห็นความไม่เที่ยง... มีเกิด... มีดับ ของขันธ์ ๕ หรือตัวเรา หรือชีวิตเรา ว่าตัวเรา... ชีวิตเรา... มันก็ไม่เที่ยง... มีเกิด... มีดับ... เหมือนกันเป็นธรรมดา ในตอนต้นทุกครั้งที่พระพุทธเจ้าจะสอนธรรม พระพุทธเจ้าจะสอนให้เรารู้จักตัวเราเองก่อนว่า ตัวเราเป็นใคร ตัวเราประกอบไปด้วยอะไร พอรู้จักตัวเราแล้ว พระพุทธเจ้าจะสอนเรื่องทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วจะดับมันได้อย่างไร การที่เราจะดับความทุกข์ได้ด้วย การเห็นสัมมาทิฏฐิในมรรค ๘ นั้น ต้องดับด้วยการพิจารณาขันธ์ ๕ และอินทรีย์ ๖ เท่านั้น ขออนุญาตเล่าเรื่องต่อเลยนะครับ ต่อมาหลังจากที่ พระยสะ และพระสหายทั้ง ๔ ได้บวชแล้ว พระยสะ ยังมีพระสหาย ที่อยู่ตามหมู่บ้านและตำบลใกล้เคียงรวม ๕๐ คน พอได้ทราบข่าวว่า พระยสะ และพระสหายของ พระยสะ ทั้ง ๔ คน ออกบวช ก็เลยมาประชุมกันและมีความเห็นว่า ต้องมีอะไรดีแน่ๆ เลย เพราะว่าเหล่าบรรดาลูกเศรษฐีนั้น มีพรั่งพร้อมทุกอย่างเช่น มีทั้งปราสาท ๓ หลัง มีนางสนมเป็นร้อยๆ แต่ทำไมถึงออกบวช จากนั้นจึงพร้อมกันเดินทางไปหา พระยสะ พระยสะ จึงนำหนุ่มชนบททั้ง ๕๐ คน เข้าเฝ้าพระัพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมให้ฟังและพระสหายชนบททั้ง ๕๐ คน ขอบวชกับพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้กับกลุ่มพระสหายชนบทว่า... ท่านทั้งหลายภิกษุทั้งหลายในพระธรรมวินัยนี้ ถ้าเธอทั้งหลายได้ตั้งใจฟังว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นเมื่อเธอทั้งหลายตั้งใจฟังแล้ว ย่อมรู้ได้ด้วยปัญญา เมื่อรู้ได้ด้วยปัญญาแล้ว ย่อมกำหนดได้ด้วยธรรมทั้งปวง ว่าพวกเธอได้เสวย เวทนา อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว สุขก็ดี... ทุกข์ก็ดี... ไม่สุขก็ดี... ไม่ทุกข์ก็ดี... เมื่อรู้เวทนาที่เกิดเธอย่อมพิจารณาเห็น ความไม่เที่ยง... มีเกิด... มีดับ... ของเวทนาเหล่านั้นเป็นธรรมดา นั่นคือการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของเวทนาเหล่านั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เป็นนิจ เมื่อเห็นความไม่เที่ยงย่อม... เบื่อหน่าย... เมื่อเบื่อหน่ายย่อมปล่อยวาง ย่อมพิจารณาเห็นความสละคืน คือไม่ยึดมั่น... ไม่ถือมั่น... ในเวทนาย่อมพิจารณาเห็นความดับของทุกข์ได้ หลังจากฟังธรรมของพระพุทธเจ้าจบแล้ว บรรดาเหล่าพระสหายชนบททั้ง ๕๐ องค์ ก็บรรลุอรหันต์ทั้ง ๕๐ องค์ จากนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า บัดนี้... เธอทั้งหลายได้บรรลุธรรมอันประเสริฐแล้ว ให้เธอทั้งหลายออกไปเผยแพร่ประกาศพระพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์แก่มหาชนต่อไป ตามสถานที่ต่างๆ แต่อย่าไปทางเดียวกันสองรูป แม้แต่ตถาคตเอง ก็จะเดินทางไปแสดงธรรมเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป ในสมัยพุทธกาล... การบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นั้น ดูช่างง่ายและเร็วมากเพียงพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมได้ไม่นานก็มีพระสาวกของพระพุทธเจ้า ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้หลายองค์คือ... ๑. กลุ่มปัญจวัคคีย์มี ๕ พระองค์ ๒. กลุ่มพระยสะและพระสหายมี ๕ พระองค์ ๓. กลุ่มพระสหายชนบทของพระยสะมี ๕๐ พระองค์ รวมแล้วก็ ๖๐ พระองค์ ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์สาวก ยิ่งไปกว่านั้น... ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์ พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดาของพระพุทธเจ้า ได้ส่งทหาร ๑,๐๐๐ คน ให้ไปทรงทูลเชิญพระพุทธเจ้าเพื่อเสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์ แต่หลังจากส่งทหารไปครั้งแรก ๑,๐๐๐ คน ก็ไม่มีใครกลับมาที่กรุงกบิลพัสดุ์เลย ทหารทั้ง ๑,๐๐๐ คน พอได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ฟังแล้ว ต่างก็มีดวงตาเห็นธรรมและขอบวชกับพระพุทธเจ้า จากนั้นไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๑,๐๐๐ องค์ ต่อมาพระเจ้าสุทโธทนะได้ส่งทหารไปทรงทูลเชิญพระพุทธเจ้าอีก เพื่อให้เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์อีก ๑,๐๐๐ คน รวม ๒,๐๐๐ คน บรรดาทหารเหล่านั้นก็ไม่กลับมา พระเจ้าสุทโธทนะได้ส่งทหารไปครั้งที่ ๓ อีก ๑,๐๐๐ คน รวม ๓,๐๐๐ คน บรรดาทหารเหล่านั้นเมื่อได้เข้าเฝ้าและได้ฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรม ต่างก็มี ดวงตาเห็นธรรมและขอบวชกับพระพุทธเจ้า จากนั้นก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด รวมสามครั้งเป็น ๓,๐๐๐ องค์ พระเจ้าสุทโธทนะได้ส่งทหารไปอีกเป็นครั้งที่ ๔ ที่ ๕... ที่ ๖ และ ๗ ๘ ๙... รวมแล้ว ๙ ครั้งเป็น ๙,๐๐๐ คน ต่างก็ไม่มีทหารคนไหนกลับมาที่กรุงกบิลพัสดุ์เลย ทหารที่พระเจ้าสุทโธทนะส่งไปทั้งหมดต่างก็ขอบวชกับพระพุทธเจ้าทั้งหมด รวม ๙,๐๐๐ คน และบรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๙,๐๐๐ องค์ สุดท้าย... พระเจ้าสุทโธทนะจึงตัดสินพระทัยส่งนายอำมาตย์ชื่อ กาฬุทายี และเป็นพระสหายสนิทของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ไปทูลเชิญพระศาสดา เพื่อเสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์... นายอำมาตย์ กาฬุทายี ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่กรุงราชคฤห์ แล้วได้ฟังพระธรรมเทศนาจบ ได้บรรลุพระอรหัตตผล จึงขอบวชเป็นภิกษุ แล้วจึงทูลเชิญพระพุทธเจ้าพร้อมพระภิกษุสงฆ์ ๒๐,๐๐๐ กว่ารูป เสด็จยังกรุงกบิลพัสดุ์ การบรรลุธรรมของพระสาวกของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้แต่งตั้งให้ใครเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นพระสาวกของพระองค์เลย แต่คนที่จะบรรลุธรรมได้นั้นคือ... องค์ของพระสาวกเองที่ฝึกปฏิบัติเอาเอง ทั้งฝึกปฏิบัติในชาตินี้ และอาจจะฝึกมาตั้งแต่ในอดีตชาติปางก่อน ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติมาแล้วรวม ๒๘ พระองค์ พอมาเกิดในชาตินี้ จึงง่ายต่อการปฏิบัติ หรือง่ายต่อการบรรลุธรรมนั้นเอง มีข้อสันนิษฐานอยู่ ๒ ข้อ ว่าทำไมจึงมีคนบรรลุธรรมกันง่ายและมากมายในสมัยพุทธกาลดังนี้... ข้อ ๑. คือ... เป็นเพราะพระสาวกของพระพุทธเจ้าบำเพ็ญบุญ... กุศลมามากพอที่จะบรรลุธรรมได้อย่าง่ายดาย... ข้อ ๒. คือ... เป็นเพราะอานุภาพบุญบารมีขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า... ที่พระสาวกมีโอกาสได้เข้าฟังเทศนาธรรม... กับองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง... จึงทำให้... เหล่าพระสาวกสำเร็จธรรมได้ง่ายและมากขนาดนั้น หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานมาแล้วจนถึง... วันนี้นับเวลาได้ ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอน ในสมัยพระพุทธกาลกับคำสอนของพระพุทธเจ้าในสมัยนี้ ที่พระสงฆ์ได้นำมาเผยแพร่ให้สาธุชนชาวพุทธได้ฟังและได้เอามาปฏิบัติกันนั้น ถูกต้องหรือครบถ้วน เหมือนสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน ไว้ในสมัยพุทธกาลหรือไม่ ข้อนี้น่าคิดและน่าศึกษาต่อเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นการศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในทุกวันนี้เราควรที่จะต้องใช่ สมาธิ สติ และก็ปัญญาให้มากครับ... "ขอให้ท่านที่สนใจใฝ่ธรรม จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ ทั้งในทางโลกและในทางธรรม โรคภัยไข้เจ็บไม่มาเบียดเบียน บุญรักษา ธรรมรักษา วาสนาดี มีลูกหลานกตัญญู ทุกคน ทุกท่านเทอญ...สาธุ สาธุ สาธุ" @......กรน์ษิวภัทธ์......@

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น