เรื่อง การบำเพ็ญบารมีของกลุ่มจิตวิญญาณพระโพธิสัตว์
มนุษย์ไม่เหมือนสัตว์ชนิดใดในสามภพนี้ เพราะได้รับการวางแบบแผนการชำระกรรมในแบบที่แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ กล่าวคือ สัตว์ชนิดอื่นๆ จะมีแบบแผนการรับกรรมแบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น เช่น เทวดา มีแบบแผนในการรับกรรมแบบเทวดาเท่านั้น, ยักษ์อสูร มีแบบแผนในการรับกรรมแบบยักษ์อสูรเท่านั้น, สัตว์เดรัจฉาน เช่น หมา มีแบบแผนการรับกรรมแบบหมา เท่านั้น ยกเว้นมนุษย์ ที่มีแบบแผนการรับวิบากกรรมที่หลากหลายโดยสังขารของมนุษย์จะเป็นที่รวม ที่อาศัยของดวงจิตมากมาย หลายแบบ ดวงจิตแบบใดเข้ามาประสานในกายสังขารมนุษย์ มนุษย์ก็ต้องชำระวิบากกรรมตามแบบนั้นๆ ดังนั้น ในช่วงชีวิตหนึ่งของมนุษย์จึงผกผัน เปลี่ยนแปลงมากมาย เพราะมนุษย์นั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ เกิดได้ยาก และอยู่ยอดพีรามิดของสัตว์โลกทุกชนิด กินสัตว์อื่นๆ ได้ทั้งหมด แต่ไม่มีสัตว์ชนิดใดที่ถูกสร้างมาเพื่อให้ล่ามนุษย์กินเป็นอาหาร (นอกจากสัตว์ชนิดนั้น มีความแค้น เป็นเจ้ากรรมนายเวรมนุษย์บางคน ก็อาจฆ่ามนุษย์กินได้) แนวทางนี้ถูกใช้มานานแล้ว ทว่า ก็มีสัตว์เดรัจฉานที่มีกายสังขาร เป็นที่อาศัยร่วมกันของดวงจิตได้มากกว่าหนึ่งดวงเหมือนกัน ที่มีดวงจิตจรมาอาศัยในกายสังขารของสัตว์ได้มากกว่าหนึ่งดวง เช่น ในกรณีที่สัตว์เดรัจฉานชนิดนั้นๆ บำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวด ดวงจิตดวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน อยู่ในกลุ่มจิตเดียวกัน ก็จะมาอาศัยร่วมบารมีด้วย เช่น สัตว์ที่สละชีพให้คนกิน, สัตว์ที่เป็นพาหนะทรงในการกอบกู้เอกราชชาติไทย ฯลฯ บางครั้ง สัตว์พิเศษเหล่านี้ มีดวงจิตพิเศษบางดวงมาอาศัยในบางขณะด้วย แม้แต่เทพนักษัตร ก็สามารถเข้ามาประสานในกายสังขารของสัตว์เดรัจฉานขณะบำเพ็ญบารมียิ่งยวดได้ อันนี้ เกิดขึ้นได้เฉพาะกรณีที่พิเศษจริงๆ เท่านั้น เพราะสัตว์เดรัจฉานนั้น ปกติ เกิดมารับกรรมต้องเป็นเดรัจฉาน ทำคุณงามความดีไม่ค่อยได้ ไม่เหมือนมนุษย์ที่มีกายสังขารพร้อมสร้างบุญบารมีอย่างเต็มที่ ดังนั้น จิตวิญญาณมากมาย จึงฉลาดพอที่จะประสานเข้าในกายมนุษย์ เลือกกายสังขารมนุษย์ ไม่ได้เลือกกายสังขารของสัตว์อื่นๆ ดังนี้ จิตวิญญาณหนึ่งกลุ่ม จึงไม่ต้องมีกายสังขารเป็นมนุษย์ทั้งหมด เพียงกายสังขารเดียว ก็เป็นที่อาศัยร่วมกันของจิตวิญญาณได้ถึง ๘๙ ดวงจิตวิญญาณแล้ว ใน ๘๙ ดวงจิตวิญญาณนี้ จะมีจิตวิญญาณสองประเภทคือ
๑) จิตวิญญาณดวงหลัก
ปกติจะมีดวงเดียว ยกเว้นบางท่านที่มีบารมีมากจริงๆ สามารถมีจิตวิญญาณหลักได้ถึงสองดวงจิต แต่แบบนี้พบน้อย ปกติแล้วมีจิตวิญญาณหลักดวงเดียวเท่านั้น จิตวิญญาณดวงหลักนี้ จะเป็นดวงที่มีช่วงเวลาอยู่ในกายสังขารนานที่สุด และบำเพ็ญบารมีอยู่มากที่สุด จึงเป็นดวงที่มีบารมีมากที่สุด อุปมาเหมือนดวงอาทิตย์ที่เป็นจุดศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาลฉะนั้น ส่วนจิตดวงอื่นๆ จะมีบารมีน้อยกว่าลงไป อุปมาเหมือนดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลนั่นเอง ปกติ จิตวิญญาณดวงหลักจะเป็นตัวนำจิตดวงอื่นๆ
๒) จิตวิญญาณดวงรองๆ
ปกติ มีจำนวนมาก ถ้าในกายสังขารมีจิตจรเข้าออกทั้งชีวิต ๘๙ ดวง จะเป็นจิตวิญญาณรองไปเสีย ๘๘ ดวง จะมีจิตวิญญาณหลักเพียงดวงเดียวเท่านั้นที่เป็นหลักประจำกายสังขารหนึ่งๆ ที่เรียกว่า “จิตสังขาร” นั่นเอง นอกนั้นเป็นจิตวิญญาณรองๆ ทั้งสิ้น ซึ่งจิตวิญญาณรองๆ นี้ ทำหน้าที่ส่งเสริมและประสานการทำงานของจิตวิญญาณหลัก บางทีจะไปเกิดล่วงหน้า ก่อนที่จิตวิญญาณหลักจะละสังขารก็มี บางทีก็มาเกิดเก็บงานตามหลัง หลังจากจิตวิญญาณดวงหลักบำเพ็ญบารมียิ่งยวดแล้วก็มี ดังนั้น จึงดูคล้ายว่าโพธิสัตว์นั้นเกิดบ่อยมาก เพราะมีดวงจิตมากอย่างนี้เอง จิตดวงใดไปเกิดมีกายสังขารแล้ว จิตดวงอื่นที่อยู่ในโลกทิพย์ก็สามารถเข้าไปอาศัย ไปประสานในกายสังขารนั้นๆ ร่วมกันได้
ในพระลามะทิเบต จะตามหาเด็กที่เกิดใหม่ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ละสังขารแล้วของตน ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ โดยจิตวิญญาณหลักของท่านมักพักอยู่เบื้องบนก่อนแต่จิตวิญญาณดวงรองจะเกิดอีก เพื่อทำหน้าที่สืบทอดงานที่คั่งค้างต่อไป นี่คือวิธีบริหารกลุ่มจิตวิญญาณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น