วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

ขนมไหว้วันตรุษจีน

ขนมไหว้วันตรุษจีน 2558 ความหมายมงคล เทศกาลปีใหม่วันตรุษจีน

ขนมไหว้วันตรุษจีน 58 กินอร่อยแฝงด้วยความหมายมงคล ขนมหวานที่นิยมใช้ในเทศกาลปีใหม่วันตรุษจีน ล้วนแต่มีความหมายทั้งสิ้น วันนี้ลองมาดูว่ามีขนมอะไรบ้าง และความหมายของขนมไหว้วันตรุษจีนแต่ละอย่างนั้นมีความหมายอย่างไร ชุดเซ่นไหว้ขนมหวาน ส่วนใหญ่แล้วนิยมจัดขนมหวาน 3 อย่าง (ซาเปีย) ขนมหวาน 5 อย่าง (โหงวเปีย) ขึ้นอยู่กับผู้ไหว้ เพื่อวันแห่งมงคลของชาวไทยเชื้อสายจีน

ชุดเซ่นไหว้ขนมหวาน หนึ่งในของไหว้ตรุษจีนที่นิยมใช้ในช่วงวันตรุษจีน

1.ขนมเข่ง มีความหมาย คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์

2.ขนมเทียน คือ มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะเป็นมงคลเหมือนเจดีย์

3.ขนมไข่ หมายถึง ความเจริญเติบโต

4.ขนมถ้วยฟู หมายถึง ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู

5.ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู

6.ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว หมายถึง คือไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค ห่อเงินห่อทอง

7.ขนมจันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต เป็นชื่อกล่องใส่ขนม หมายถึงความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป เจริญงอกงามดั่งเมล็ดธัญพืช มีขนมทั้งหมด 5อย่าง ขนมถั่วตัด งาตัด ชิ้นฟัก ข้าวพอง ลูกกวาด(ซกซา) ซึ่งเป็นขนมโบราณ

8.ขนมบัวลอยหรือขนมอี๋ หมายถึง ให้ชีวิตมีความหวานและง่าย

9.ซิ่วท้อ คือขนมซาลาเปาชนิดหนึ่งที่ปั้นเลียนเเบบลูกท้อ หมายถึง การมีสุขภาพที่แข็งแรงอายุยืนยาว


แชร์จาก Google Keep

กำเนิดแห่งบาป


กำเนิดแห่งบาป! บาปกำเนิดหรือบาปที่เกิดขึ้นครั้งแรกสุดในประวัติศาสตร์มนุษย์มีชื่อเรียกในภาษาละตินว่า ‘Superbia’ หรือก็คือ ‘Pride’ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘บาปหนักเจ็ดประการ’ (Seven Deadly Sins) ที่พระสันตะปาปากริกอรีที่ 1 (Pope Gregory I) ทรงกำหนด และต่อมา นักบุญธอมัส อไควนาส (St. Thomas Aquinas) ก็นำมาเรียบเรียงและปรับปรุงใหม่ นักบุญธอมัส อไควนาส ให้คำจำกัดความเกี่ยวกับบาป ‘Pride’ ไว้ในหนังสือ Summa Theologicae (1265 - 1274) ที่ตนเขียนขึ้นว่าเป็น “ความรักและลุ่มหลงในตนเองอย่างเกินขอบเขต” กำเนิดแห่งบาป!
บาปกำเนิดหรือบาปที่เกิดขึ้นครั้งแรกสุดในประวัติศาสตร์มนุษย์มีชื่อเรียกในภาษาละตินว่า ‘Superbia’ หรือก็คือ ‘Pride’ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘บาปหนักเจ็ดประการ’ (Seven Deadly Sins) ที่พระสันตะปาปากริกอรีที่ 1 (Pope Gregory I) ทรงกำหนด และต่อมา นักบุญธอมัส อไควนาส (St. Thomas Aquinas) ก็นำมาเรียบเรียงและปรับปรุงใหม่ นักบุญธอมัส อไควนาส ให้คำจำกัดความเกี่ยวกับบาป ‘Pride’ ไว้ในหนังสือ Summa Theologicae (1265 - 1274) ที่ตนเขียนขึ้นว่าเป็น “ความรักและลุ่มหลงในตนเองอย่างเกินขอบเขต” และยังหมายรวมถึงการกระทำใดๆก็ตามที่แสดงว่า “ไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจของพระผู้เป็นเจ้าและกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้” ด้วยเหตุที่กฎเกณฑ์และคำสั่งสอนของพระผู้เป็นเจ้านั้นถือเป็นหลักสำคัญในการเป็นศาสนิกชนที่ดี การกระทำใดๆ ที่ขัดกับกฎและคำสอนของพระองค์จึงเท่ากับเป็นการทำบาป ‘Pride" ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ‘Pride’ ก็คือ ‘บาปกำเนิด’ หรือรากเหง้าของบาปทั้งมวล
การกระทำบาป ‘Pride’ ที่สำคัญในพระคริสตธรรมคัมภีร์มีอยู่ด้วยกันสองครั้ง เหตุการณ์ครั้งแรกคือการก่อกบฏของทูตสวรรค์ลูซิเฟอร์ที่มีบันทึกไว้ในพระธรรมอิสยาห์ (Isaiah) ลูซิเฟอร์เป็นทูตสวรรค์ตนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และกล่าวกันว่ามีพลังอำนาจเป็นรองเพียงพระองค์ แต่ลูซิเฟอร์ไม่พอใจในการตัดสินพระทัยหลายประการของพระเจ้า ทั้งยังไม่พอใจที่ต้องมารับใช้พระองค์ เขาจึงรวบรวมไพร่พลก่อกบฏในสวรรค์และประกาศว่าจะขึ้นมามีอำนาจเหนือพระเจ้า (อิสยาห์ 14:13-14) ผลที่เกิดขึ้นคือฝ่ายของลูซิเฟอร์พ่ายแพ้และถูกขับออกจากสวรรค์ และลูซิเฟอร์ก็โดนขนานนามว่าเป็น ‘ซาตาน’ (Satan) หรือผู้ต่อต้านพระเจ้า
เหตุการณ์อีกครั้งเกิดขึ้นในช่วงต้นของพระธรรมปฐมกาล เมื่องู (บางตำนานว่ากันว่าเป็นสมุนของลูซิเฟอร์ บ้างก็ว่าเป็นร่างแปลงของเขา) ล่อลวงให้อีฟหรือมนุษย์ผู้หญิงที่พระเจ้าสร้างขึ้นในสวนอีเดนฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ด้วยการรับประทานผลไม้ต้องห้าม โดยงูกล่าวว่าผลไม้ที่กินเข้าไปจะไม่ทำให้ตาย แต่จะทำให้เป็นเหมือนกับพระเจ้า นั่นคือรู้สำนึกว่าดีและชั่วเป็นอย่างไร (ปฐมกาล 3:4-5) เมื่อพระเจ้าทรงทราบว่ามนุษย์ทั้งคู่ได้ทานผลไม้ต้องห้ามและมีสำนึกรู้ดีรู้ชั่วแล้ว พระองค์ก็ทรงขับไล่พวกเขาออกจากสวนอีเดนและลงโทษพวกเขาต่างๆ นานา เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์เปรียบเทียบกัน จะเห็นได้ว่าบาป ‘Pride’ ที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้งมีลักษณะเหมือนกัน คือเป็นการที่ ‘สิ่งที่ถูกสร้าง’ (Creation) ปฏิเสธที่จะเชื่อฟัง ‘ผู้สร้าง’ (Creator) และปรารถนาที่จะอยู่ในระดับเดียวกับผู้สร้าง
_
ที่มา: ปรัชญา เดอะเมทริกซ์, กำเนิดแห่งบาป, และยังหมายรวมถึงการกระทำใดๆก็ตามที่แสดงว่า “ไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจของพระผู้เป็นเจ้าและกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้” ด้วยเหตุที่กฎเกณฑ์และคำสั่งสอนของพระผู้เป็นเจ้านั้นถือเป็นหลักสำคัญในการเป็นศาสนิกชนที่ดี การกระทำใดๆ ที่ขัดกับกฎและคำสอนของพระองค์จึงเท่ากับเป็นการทำบาป ‘Pride" ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ‘Pride’ ก็คือ ‘บาปกำเนิด’ หรือรากเหง้าของบาปทั้งมวล การกระทำบาป ‘Pride’ ที่สำคัญในพระคริสตธรรมคัมภีร์มีอยู่ด้วยกันสองครั้ง เหตุการณ์ครั้งแรกคือการก่อกบฏของทูตสวรรค์ลูซิเฟอร์ที่มีบันทึกไว้ในพระธรรมอิสยาห์ (Isaiah) ลูซิเฟอร์เป็นทูตสวรรค์ตนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และกล่าวกันว่ามีพลังอำนาจเป็นรองเพียงพระองค์ แต่ลูซิเฟอร์ไม่พอใจในการตัดสินพระทัยหลายประการของพระเจ้า ทั้งยังไม่พอใจที่ต้องมารับใช้พระองค์ เขาจึงรวบรวมไพร่พลก่อกบฏในสวรรค์และประกาศว่าจะขึ้นมามีอำนาจเหนือพระเจ้า (อิสยาห์ 14:13-14) ผลที่เกิดขึ้นคือฝ่ายของลูซิเฟอร์พ่ายแพ้และถูกขับออกจากสวรรค์ และลูซิเฟอร์ก็โดนขนานนามว่าเป็น ‘ซาตาน’ (Satan) หรือผู้ต่อต้านพระเจ้า เหตุการณ์อีกครั้งเกิดขึ้นในช่วงต้นของพระธรรมปฐมกาล เมื่องู (บางตำนานว่ากันว่าเป็นสมุนของลูซิเฟอร์ บ้างก็ว่าเป็นร่างแปลงของเขา) ล่อลวงให้อีฟหรือมนุษย์ผู้หญิงที่พระเจ้าสร้างขึ้นในสวนอีเดนฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ด้วยการรับประทานผลไม้ต้องห้าม โดยงูกล่าวว่าผลไม้ที่กินเข้าไปจะไม่ทำให้ตาย แต่จะทำให้เป็นเหมือนกับพระเจ้า นั่นคือรู้สำนึกว่าดีและชั่วเป็นอย่างไร (ปฐมกาล 3:4-5) เมื่อพระเจ้าทรงทราบว่ามนุษย์ทั้งคู่ได้ทานผลไม้ต้องห้ามและมีสำนึกรู้ดีรู้ชั่วแล้ว พระองค์ก็ทรงขับไล่พวกเขาออกจากสวนอีเดนและลงโทษพวกเขาต่างๆ นานา เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์เปรียบเทียบกัน จะเห็นได้ว่าบาป ‘Pride’ ที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้งมีลักษณะเหมือนกัน คือเป็นการที่ ‘สิ่งที่ถูกสร้าง’ (Creation) ปฏิเสธที่จะเชื่อฟัง ‘ผู้สร้าง’ (Creator) และปรารถนาที่จะอยู่ในระดับเดียวกับผู้สร้าง 
_ ที่มา: ปรัชญา เดอะเมทริกซ์, กำเนิดแห่งบาป,



ซื่อสัตว์

.“ซื่อสัตย์ “ ถูก หนุ่มน้อยนามว่า “ฉลาด” ทิ้งลงทะเล ซื่อสัตย์พยายามว่ายน้ำ
จนมาถึงเกาะแห่งหนึ่ง เมื่อขึ้นฝั่งได้ ซื่อสัตย์ ก็นอนพักอยู่บนหาดทราย มัน
พยายามคิดหาวิธีที่จะกลับขึ้นฝั่ง สิ่งที่ซื่อสัตย์หวังก็คือจะมีเรือของใครผ่าน
มาทางนี้บ้าง

อยู่ๆ ซื่อสัตย์ก็ได้ยินเสียงเพลงแววมาแต่ไกล มันรีบลุกขึ้นและมองไปยังต้น
เสียงนั้น มีเรือลำหนึ่งกำลังมุ่งมายังเกาะนี้ บนเรือลำนั้นมีธงผืนเล็กโบก
สะบัดอยู่ บนธงนั้นเขียนคำว่า “ความสุข” ที่แท้เป็นเรือของความสุขนั่นเอง

ซื่อสัตย์จึงตะโกนเรียกความสุข
“ความสุข ความสุข ผมคือซื่อสัตย์ คุณช่วยพาผมขึ้นฝั่งได้ไหม?”
เมื่อความสุขได้ยิน ก็พูดกับซื่อสัตย์ว่า
“ไม่ได้ๆ หากผมพาคุณขึ้นมาด้วยผมจะหมดสุข คุณดูสิ ผู้คนมากมายใน
สังคมยุคนี้ที่พูดความจริงแล้วกลับไม่มีความสุข ขอโทษนะซื่อสัตย์ ผมรับ
คุณขึ้นมาไม่ได้!”
พูดเสร็จ ความสุขก็จากไป

ผ่านไปสักครู่หนึ่ง “ตำแหน่ง” ก็ผ่านมา
ซื่อสัตย์ตะโกนเรียกตำแหน่ง
“ตำแหน่ง ตำแหน่ง ผมคือซื่อสัตย์ ผมขออาศัยเรือของคุณขึ้นฝั่งได้ไหม?”
ตำแหน่งพอได้ยิน ก็รีบหันหัวเรือให้ห่างออกไป จากนั้นก็หันมาพูดกับซื่อสัตย์
ว่า
“ไม่ได้ ไม่ได้ ซื่อสัตย์คุณจะขึ้นมาอยู่กับผมไม่ได้ คุณรู้ไหมตำแหน่งที่ผม
ได้มานั้นมันยากเย็นสักเพียงใด หากผมพาคุณมาอยู่ด้วยเดี๋ยวผมก็ซวยนะสิ
เดี๋ยวผมก็จะสูญเสียตำแหน่ง ยังไงผมไม่ขออยู่ร่วมกับคุณ”

ซื่อสัตย์น้ำตาคลอเบ้า มองตำแหน่งที่รีบออกเรือจากไปอย่างสิ้นหวังรู้สึกสับ
สนในตนเองเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่มันทำได้ก็เพียงแค่รอ รอ และก็รอเท่านั้น
อยู่ๆท่วงทำนองที่ไม่ค่อยจะเข้ากันนักก็แว่วดังขึ้นมา เรือลำหนึ่่งบรรทุก “แข่ง
ขัน” เป็นจำนวนมากผ่านมา ซื่อสัตย์จึงตะโกนเรียก

“แข่งขัน แข่งขัน ผมขอขึ้นเรือของคุณได้ไหม?”
“คุณเป็นใคร คุณมีประโยชน์แค่ไหนกับพวกเรา?”
แข่งขันตะโกนถามมา
ซื่อสัตย์ไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะเกรงว่าจะพลาดโอกาสเหมือนทุกครั้งที่
ผ่านมา แต่ซื่อสัตย์ก็คือซื่อสัตย์
“ผมคือซื่อสัตย์.....”
“ห๊า! คุณคือซื่อสัตย์ หากพวกเรามีคุณอยู่ด้วย เราจะแข่งขันเอาชนะอะไร
กับใครที่ไหนได้ ”
พูดเสร็จ ก็หันหัวเรือจากไปอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ซื่อสัตย์กำลังสิ้นหวังนั่งคอตก อยู่ๆก็มีน้ำเสียงอันเมตตาดังขึ้นว่า
“ลูกจ๋า ขึ้นเรือเถิด!”
เมื่อซื่อสัตย์เงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนหนึ่งยืนอยู่บนเรือ
“ฉันคือผู้เฒ่าแห่งกาลเวลา”
“ทำไมท่านต้องมาช่วยผมครับ?”
ซื่อสัตย์ถามออกไปด้วยความสงสัย
“มีแต่กาลเวลาเท่านั้นที่รู้ว่าซื่อสัตย์มีค่ามากเพียงใด”
ผู้เฒ่าแห่งกาลเวลาพูดออกไปด้วยรอยยิ้ม

บนทางกลับคืนฝั่ง ผู้เฒ่าแห่งกาลเวลาได้พูดกับความสุข ตำแหน่ง แข่งขันที่
ต่างก็เรือล่มอยู่กลางทะเลว่า
“เจ้าทั้งหลายจงจำไว้ หากปราศจากซื่อสัตย์แล้ว ความสุขจะอยู่ได้ไม่นาน
ตำแหน่งที่ได้มาก็เป็นตำแหน่งจอมปลอม การแข่งขันก็มีแต่จะล้มเหลวไม่เป็น
ท่า”

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

โอม มณี ปัทมี ฮุม




โอม มณี ปัทมี ฮุม
เมื่อใจของท่านมีสมาธิกับเสียงเพลงแห่งสวรรค์ ใจที่กำลังยึดมั่นถือมั่นในอกุศลเหล่านั้นก็จะพังทลายลง มาเป็นความสงบเยือกเย็นลงได้ คือ พุทธะ คือ ปัญญาญาณ....สามารถเข้าใจตนเองและสัจธรรม สามารถปลงลงได้ชั่วคราวหรืออาจถาวร จากความเกลียดชัง กลายมาเป็นเมตตาธรรม เจริญรอยตามพระธรรมขันธ์แห่งพระพุทธะ โพธิสัตว์ที่สถิตอยู่ในกลางใจตนเอง สาธุๆๆๆ
นำ มอ ฮอ ลา ตัน นอ ตอ ลา เย เย . นำ มอ ออ ลี เย . พอ ลู กิด ตี ชอ ปอ ลา เย . ผู่ ที สัก ตอ พอ เย . มอ ฮอ สัก ตอ พอ เย . มอ ฮอ เกีย ลู นี เกีย เย . งัน . สัก พัน ลา ฟา อี . ซู ตัน นอ ตัน แซ . นำ มอ เสิด กิด สี ตอ อี มง ออ ลี เย . พอ ลู กิด ตี สิด ฟู ลา เลง ทอ พอ . นำ มอ นอ ลา กิน ชี . ซี ลี มอ ฮอ พัน ตอ ซา เม . สัก พอ ออ ทา เตา ซี พง . ออ ซี ยิน . สัก พอ สัก ตอ นอ มอ พอ สัก ตอ . นอ มอ พอ เค . มอ ฟา ทา เตา . ตัน จี ทอ . งัน ออ พอ ลู ซี . ลู เกีย ตี . เกีย ลอ ตี . อี ซี ลี . มอ ฮอ ผู่ ที สัก ตอ . สัก พอ สัก พอ . มอ ลา มอ ลา . มอ ซี มอ ซี ลี ทอ ยิน . กี ลู กี ลู กิด มง . ตู ลู ตู ลู ฟา เซ เย ตี . มอ ฮอ ฟา เซ เย ตี . ทอ ลา ทอ ลา . ตี ลี นี . สิก ฟู ลา เย . เจ ลา เจ ลา . มอ มอ ฟา มอ ลา . มก ตี ลี . อี ซี อี ซี . สิด นอ สิด นอ . ออ ลา เซียง ฟู ลา เซ ลี . ฟา ซอ ฟา เซียง . ฟู ลา เซ เย . ฟู ลู ฟู ลู มอ ลา . ฟู ลู ฟู ลู ซี ลี . ซอ ลา ซอ ลา . เสิด ลี เสิด ลี . ซู ลู ซู ลู . ผู่ ที เย ผู่ ที เย . ผู่ ทอ เย ผู่ ทอ เย . มี ตี ลี เย . นอ ลา กิน ชี . ตี ลี สิด นี นอ . พอ เย มอ นอ . ซอ พอ ฮอ . เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . มอ ฮอ เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . เสิด ทอ ยี อี . สิด พัน ลา เย . ซอ พอ ฮอ . นอ ลา กิน ชี . ซอ พอ ฮอ . มอ ลา นอ ลา . ซอ พอ ฮอ . เสิด ลา เจง ออ หมก เค เย . ซอ พอ ฮอ . ซอ พอ มอ ฮอ ออ เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . เจ กิด ลา ออ เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . ปอ ทอ มอ กิด เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . นอ ลา กิน ชี พัน เค ลา เย . ซอ พอ ฮอ . มอ พอ ลี เซง กิด ลา เย . ซอ พอ ฮอ . นำ มอ ฮอ ลา ตัน นอ ตอ ลา เย เย . นำ มอ ออ ลี เย . พอ ลู กิด ตี . ชอ พัน ลา เย . ซอ พอ ฮอ . งัน . เสิด ติน ตู . มัน ตอ ลา . ปัด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ .
ใจความเป็นภาษาไทย
ขอนอบน้อมนมัสการแด่องค์พระอริยะ ผู้ห่างไกลจากบาปอกุศล วัตถุประสงค์แห่งบทนี้พระโพธิสัตว์ทรงสั่งสอนชาวโลก ให้ปฏิบัติทางจิตเป็นมูลฐาน พระสัทธรรมทั้งหลายล้วนกำเนิดมาแต่จิต เหตุนี้ผู้ปฏิบัติจะต้องมีความชัดแจ้งแห่งจิต และมองเห็นสภาวะแห่งตน จึงจะสามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อไม่แจ้งชัดในจิตก็ไม่สามารถเห็นสภาวะแห่งตน หากแต่จิตมีความมั่นคง ก็สามารถเดินทางสู่พระนฤพานได้ ขอนอบน้อมคารวะแด่องค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (เจ้าแม่กวนอิม) ผู้เพ่งเสียงแห่งสรรพสัตว์ผู้ยาก พระโพธิสัตว์ผู้สงสารชีวิตแห่งสรรพสัตว์ผู้ตกอยู่ในกองทุกข์ เขาเหล่านั้นล้วนมีความทุกข์อันเกิดจากการหลงลืมสภาวะเดิมของตน จำต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ พระองค์พิจารณาตามนี้ จึงเกิดเมตตาจิตที่จะโปรดสัตว์ ขอนอบน้อมคารวะต่อผู้ให้ความตรัสรู้แก่ทุกชีวิตหากตั้งใจในธรรม นอบน้อมต่อความแจ้งในสภาวะเดิม ก็จะถึงความหลุดพ้น... เมื่อน้อมคารวะผู้กล้าหาญก็มีโอกาสที่จะหลุดพ้น มวลสรรพสัตว์ในโลกอันไพศาล ถ้ารู้สึกตัวแล้วลงมือปฏิบัติ ล้วนถึงความหลุดพ้นได้ ขอนอบน้อมคารวะต่อผู้มีมหากรุณาจิต พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีความเมตตากรุณาไม่มีประมาณ นำสัทธรรมอันเป็นความดับสูญโดยแท้จริง ปลุกให้มนุษย์ฟื้นคืนสภาวะเดิมที่มีอยู่ เข้าถึงสัทธรรมอันบริสุทธิ์ องค์อริยะผู้อิสระ ผู้มีกายใจอันบริสุทธิ์สะอาด กาย ใจ จะบริสุทธิ์ได้ ต้องตั้งอยู่ในสัจธรรม ปฏิบัติตนอยู่ในศีล การปฏิบัติธรรมต้องถือความสัจเป็นพื้นฐาน ใช้ความเพียรเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุสู่อริยสัจ หากการปฏิบัติธรรมไม่ประกอบด้วยความสัจ ก็จะไม่พบหนทางสู่ความสำเร็จ เนื่องจากความสัจนั้นเป็นธรรมที่ปราศจากการหลอกลวง จิตจึงรวมเป็นหนึ่งได้ เมื่อมีความสัจ ก็จะมีความเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็จะมองเห็นความปลอดโปร่ง เมื่อปลอดโปร่งก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลง และกลับกลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นผู้ที่จะนอบน้อมเข้าถึงองค์อริยะ จำต้องปฏิบัติธรรมโดยมานะพากเพียร มีจิตใจมั่นคงเป็นหนึ่ง จะกระทำโดยเร่งรีบไม่ได้ ต้องทำใจให้ว่างเข้าถึงองค์แห่งพระธรรมคัมภีร์ หมั่นในการปฏิบัติตามหลักธรรม มีความคิดดำริมั่นที่จะก้าวข้ามห้วงแห่งโอฆะ (โอฆะ = การเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้ ) คิดจะกระทำประโยชน์แก่สรรพชีวิต ผู้ปฏิบัติต้องจงใจมุ่งไปข้างหน้า ฝึกฝนให้กายและจิตรวมเป็นหนึ่ง (เอกัคคตา) เพื่อให้สำเร็จในมรรคผล ด้วยความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์ ทรงย้ำเตือนให้ยึดถือพระไตรสรณาคมน์ ต้องปฏิบัติตนอยู่ในมนุษยธรรม ทำตนเป็นตัวอย่างเพื่อให้สาธุชนรุ่นหลังได้รับรู้เป็นแบบอย่าง และเจริญรอยตาม สาธุชนผู้ปฏิบัติตามพระพุทธองค์และพระธรรม ยิ่งต้องมีความเมตตากรุณาจิตและโพธิจิตเพื่อโปรดสัตว์ รักษาพระธรรมยิ่งกว่าชีวิตและเผื่อแผ่ทั่วไปไม่มีประมาณพระโพธิสัตว์เล็งเห็นว่าชาวโลกถือเอาความรวย, มีชื่อเสียง, ศักดินา เป็นที่นิยมศรัทธา อันเป็นการเพิ่มพูนความทุกข์ พระองค์จึงเตือนจิตให้มนุษย์ จงผ่อนใจในทางโลก โน้มน้าวจิตใจมาในทางมรรคผล เมื่อจิตว่างแล้ว พระสัทธรรมอันพิสุทธิ์ก็จะเจริญขึ้นทุกคนที่ปฏิบัติสามารถรู้ได้เห็นได้ และบรรลุสู่พระพุทธภูมิได้โดยเสมอกัน ผู้ที่ทำความดีย่อมได้รับการชมเชย ผู้ทำบาปจะต้องสำนึกและขอขมาโทษ ไม่ว่านักปราชญ์หรือผู้โง่เขลา เบาปัญญา คนหรือสัตว์ ล้วนสามารถหลุดพ้นได้ ถ้าเขาเหล่านั้นปฏิบัติธรรมด้วยความสัจ ผู้ปฏิบัติต้องถือพระสัทธรรมเป็นสูญ ไม่ข้องแวะ ไม่ติดในรูป ไม่ยึดในจิต ถือเอาสัจธรรมเป็นใหญ่ และต้องละความวิตกกังวล กำจัดความโกรธ ความโลภ ความหลง โดยใช้หลักแห่งปัญญาดับกิเลสให้จิตสงบ เป็นอยู่ในโลกนี้โดยสันติสุข ความศรัทธาจริงอันต่อเนื่องกันจิตต้องตรงกับพระธรรม ห้ามมิให้มีความคิดทางโลกเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ เนื่องจากว่าหากปล่อยให้ความคิดทางโลก เกิดขึ้นในจิต กาย ใจ ก็จะไม่บริสุทธิ์ทำให้เกิดการขัดแย้งกับพระธรรมไม่อาจจะพบความสันติสุขได้ ความสะอาดจิตสะอาดสดใสไร้ราคะ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นไหวต่อการก่อกวนของเหล่ามาร(กามกิเลส) หากสามารถตั้งจิตข่มจิตสำรวมกาย วาจา และจิต ละทิ้งโลกาวิสัยทั้งหมดก็จะเข้าถึงพุทธสภาวะที่มีอยู่เดิม ถ้าทำให้จิตมีความสงบนิ่งอยู่ทุกขณะ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะมีความสำเร็จในธรรมโดยมิรู้ตัวพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ รวมทั้งพระโพธิสัตว์เจ้าได้หลุดพ้น ในขณะที่อยู่ในโลกอันมากล้นไปด้วยกิเลสนี้ เป็นโลกนาถ มีความเป็นอิสระ มีกุศลจิตสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มัวหมอง มีรัศมีสว่างรอบกาย และสามารถร่วมกับดินฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รักษาความมีกุศลจิต อย่าทำลายตนเอง อย่าหลงผิดเป็นชอบ สิ่งสำคัญ.ต้องรักษาจิตให้บริสุทธิ์ ผู้มีความกรุณา ผู้ปลดปล่อยทุกข์ เป็นผู้มีจิตในทางธรรม ดำรงมรรคมั่นคง มีสติปัญญาเฉียบแหลมยิ่งใหญ่เมื่อจิตมีความสงบก็สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งชั่วร้ายให้กลับกลายเป็นดี กระทำตามโอวาท อย่ามีจิตหลงผิด การเน้นปฏิบัติอนัตตธรรม (อนัตตธรรม = ธรรมชาติที่เป็นความไม่มีตัวตน) มองเห็นสรรพธรรมเป็นสูญ (สูญ = สูญตา = ความว่าง) มองความรุ่งเรืองแห่งลาภยศ สรรเสริญเป็นสูญ มองให้เห็นเป็นเงาลวง ทำจิตใจร่างกายให้หมดจด พุทธธรรมมีความเสมอภาค อีกทั้งยังอำนวยประโยชน์สุขแก่สัตว์โลก ผู้ที่มีปัจจัยแห่งบุญย่อมได้รับความสุขความคิดคำนึงเกิดมาแต่จิต จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธานแห่งบุญและบาป ผู้ปฏิบัติต้องกำจัดความคิดอันเป็นอกุศล ความคิดฟุ้งซ่าน ระงับความวิตกกังวล เพียรพยายามเสาะหาสัจธรรม ชำระล้างอายตนะภายในให้สะอาดพิสุทธิ์ ละความห่วงใยใดๆให้สิ้นเชิง ความมีอิสระทันที ผู้ปฏิบัติไม่มีเวลาใดที่ไม่เป็นอิสระคือมีอิสระทุกเมื่อ การปฏิบัติกระทั่งสำเร็จวิชชาธรรมกาย มีอาสน์ดอกบัวรองรับ โดยปกติแล้วผู้ที่มีจิตว่างก็จะมีความสะอาดทั้งกายและจิต เมื่อลงมือปฏิบัติแล้วก็สามารถบรรลุมรรคผลได้ และก็จะตั้งอยู่เช่นนั้น ไม่มีวันเสื่อมถอย การเกิดความคิดปฎิบัติธรรมสามารถบันดาลให้เทพเจ้ามาปกปักรักษา ผู้ปฏิบัติจะต้องสร้างสมบุญบารมีเพื่อเป็นพื้นฐานในการบรรลุสู่มหามรรค (มรรคผล-นิพพาน) ผู้ปฏิบัติจะต้องยืนให้มั่นตั้งใจปฏิบัติ ไม่ลุ่มหลงด้วยพวกเดียรถี มีความแน่วแน่ มีสมาธิ มีความสงบ มีความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่สามารถข้ามพ้นสังสารวัฏได้ พระสัทธรรมอันไพศาล สามารถระงับความเกิดดับแห่งกิเลสได้ ภัยพิบัติต่างๆไม่แผ้วพาน ทุกคนสามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้เหมือนกัน กำจัดความหลงผิด ความเห็นแก่ตัว ปล่อยวางปัจจัยทางโลก เมื่อปฏิบัติจิตให้มีสภาพเหมือนอากาศอันโปร่งใส ไร้ละอองธุลีแม้แต่น้อย ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นพรหมได้ เมื่อปฏิบัติธรรมเข้าถึงความสมบูรณ์แห่งสภาวะเดิมแล้ว จะมีความสว่างปรากฏในกายของตน ความโกรธ ดุ สุรเสียงที่เปล่งออกมาดุจเสียงคำรามของฟ้า กระหึ่มไปทั่วสารทิศ ธรรมเหมือนดังฟ้าร้องคำรามไปทุกสารทิศ เป็นเสียงแห่งพรหมเมื่อเหล่ามารได้ยินศัพท์สำเนียงนี้ ก็จะเกิดความสะดุ้งกลัว การกระทำดี สามารถทำลายความกังวลแห่งภยันตรายได้ ธรรมะเป็นสิ่งลึกซึ้ง เข้าใจยาก และมีความศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถประมาณ หรือคาดคิดได้ เป็นประโยชน์ที่ไม่มีสิ่งใดทัดเทียม ผู้ปฏิบัติได้เช่นนี้ ย่อมบรรลุสู่ภูมิแห่งพุทธ การชักชวนตามพระศาสนา ทุกสรรพสิ่งให้ดำเนินไปตามธรรมชาติ ทุกสิ่งปล่อยให้ดำเนินไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง อย่าฝืนกระทำตามใจชอบ เป็นมหาสติ มีจิตใจมั่นคงสามารถเข้าสู่มหาปัญญา ผู้ปฏิบัติธรรม มีความสว่างแห่งสติปัญญาอยู่ ถ้าใช้จิตนี้เป็นฐานใช้ธรรมให้เป็นประโยชน์ ก็จะได้รับฐานธาตุที่สดชื่น แต่หากไม่มีจิตใจมั่นคงกำจัดกิเลสในตนไม่หมด ก็ไม่มีทางที่จะให้ความว่างแห่งสติปัญญาที่มีอยู่ดั้งเดิมปรากฏออกมาได้เลย. ความผ่านธรรมไปถึงธรรมราชา มีความอิสระในธรรม การได้พระธรรมกายอันบริสุทธิ์ ได้ดวงแก้วแห่งพระรัตนะ ผู้ที่มีธรรม ตั้งอยู่ในขันติธรรม ผู้บรรลุธรรม มีความสุขอันแท้จริงยากจะบรรยาย เป็นการอนุโมทนาตามเหตุตามปัจจัย ความสุขที่แท้จริง จะต้องได้จากการปฏิบัติที่ยากลำบาก ถ้าสามารถอดทนต่อความยากลำบากก็จะเข้าถึงความสุขอันยิ่งได้ จะต้องมีความรู้ด้วยตนเอง ผู้จะบรรลุธรรมหากสามารถละการยึดเกี่ยวเข้าถึงสภาวะดั้งเดิม ก็จะพบพระพุทธเจ้าได้ทุกพระองค์ การประกอบพิธีตามปรารถนา ประกอบพิธีกรรมไม่ละจากตัวตน การประกอบธรรม โดยปราศจากความคิดคำนึงมีความเป็นอิสระสูง ผู้ปฏิบัติเพียงแต่มีความมุ่งมั่น มีความเพียรพยายามอย่างต่อเนื่อง มีจิตอันเป็นหนึ่งเดียว ก็จะได้เห็นองค์พระโพธิสัตว์ ความเป็นมหามงคลอันสูงสุด สามารถอำนวยประโยชน์ และคุ้มครองสรรพสัตว์โดยไม่ละทิ้ง น้ำอมฤตทานสามารถอำนวยประโยชน์แก่สัตว์โลกทั้งปวง การตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ถึงภูมิจิต ผู้ที่ปฏิบัติจะต้องมีความวิริยะพากเพียรอย่างแรงกล้า ปฏิบัติทุกวันทุกคืนเสมอต้นเสมอปลายไม่ท้อถอย เป็นการรู้ในธรรม รู้ในจิต ผู้ปฏิบัติจะต้องถือ "ตัวเขา-ตัวเรา" เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่เพียงแต่ไม่เห็นลักษณะตัวเขาตัวเรา แม้สรรพสัตว์ในทุคติ ก็ต้องถือว่าเท่าเทียมกับเรา มหากรุณา ให้ผู้ปฏิบัติต้องเจริญเมตตากรุณาจิต เพื่อให้สรรพสัตว์เข้าถึงโพธิมรรค รักในตนเองเท่าใด ก็ให้รักผู้อื่นเท่านั้น นักปราชญ์ผู้รักษาตนเองได้ มีมหากรุณาจิต ผู้ปฏิบัติจะต้องเคารพนักปราชญ์ เห็นผู้ทำดีจะต้องช่วยกันรักษา ผู้ที่เกิดความท้อถอยก็ต้องส่งเสริมให้กำลังใจ ความคมของวัชระ ให้คนเรามีความมั่นคงในการปฏิบัติธรรม สุรเสียงก้องไปสิบทิศ เป็นสุรเสียงแห่งความปิติยินดี ความสำเร็จผล มงคล นิพพาน ระงับภัยเพิ่มพูลประโยชน์ พระสัทธรรมไม่เกิดไม่ดับ เป็นสภาวะอันสงบมาแต่เดิม ความสำเร็จในธรรมทั้งหลาย เข้าถึงพระวิสุทธิมรรคปราศจากขอบเขตอันจำกัด สรรพสัตว์เพียงแต่ละวางจากลาภยศชื่อเสียง ก็จะเข้าถึงความหลุดพ้นได้ ผู้ปฏิบัติถ้าเห็นแจ้งในพระสัจธรรมและความหลอกลวง(ไม่แท้) ก็จะสำเร็จได้ง่าย ความไพศาลของพระพุทธธรรม ผู้ใดน้อมนำไปปฏิบัติจะสำเร็จในพระพุทธผล ทวยเทพเจ้าต่างได้รับความสำเร็จอันเป็นความว่างเปล่า (สุญญตาธรรม) ความสำเร็จด้วยความรัก ความเมตตากรุณา การปกปักษ์รักษา แสดงถึงความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์มุ่งเน้นให้คนปฏิบัติธรรม อีกทั้งยังเปิดเผยหัวใจอันลึกซึ้งของมหามรรคนี้ เป็นการแสดงความรักของพระโพธิสัตว์ต่อหมู่ชน คนเรานั้นมีโรคทางจิตเป็นภัยคุกคาม พระธรรมโอสถเท่านั้นที่สามารถรักษาให้หายได้ สัตว์ทุกประเภทมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน สามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิได้เหมือนกัน สรรพสัตว์มีโอกาสร่วมรับความสุขสบายทั่วถึงกัน บุคคลมีขันติธรรมก็จะเข้าถึงธรรมได้ด้วยดี สามารถสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณได้ไม่จำกัด (ต่อเนื่องกับบทก่อน) ความเมตตาอันสูงสุด การใช้วชิรธรรมจักร ปราบเหล่ามารศัตรูได้รับความสำเร็จ สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนสำเร็จในความบริสุทธิ์ได้ จึงไม่ควรประกอบอกุศลกรรมทั้งหลาย พุทธธรรมเป็นธรรมที่ไม่มีขอบเขต จะต้องปฏิบัติเพื่อได้รับความสุขร่วมกัน ย้ำเตือนให้ผู้ปฏิบัติจะต้องประกอบด้วยสติปัญญาเพื่อการหลุดพ้น ละจากกิเลส ผู้ปฏิบัติไม่ยึดในทางใดทางหนึ่ง ปฏิบัติโดยการพิจารณา พร้อมทั้งมีหิริโอตตัปปะ มรรคผลนั้นสำเร็จได้ด้วยตนเอง สำเร็จได้ด้วยการพิจารณา ในทุกขณะจะต้องพิจารณาจิตของตน รักษาไว้ในทุกเหตุปัจจัยไม่ให้วิตกจิตเกิดขึ้นได้ รักษาไว้ด้วยความเป็นภัทร (ภัทร = เจริญ,ประเสริฐ) เถระเพ่งโดยอิสระ เป็นที่รักของผู้เจริญ เป็นที่รักของพระอริยะ การปฏิบัติให้ถือเอาสัมมาจิต และความมีสัจเป็นหลัก คุณธรรมจะสำเร็จได้ ด้วยสภาวะแห่งเมตตาธรรม หากจิตตั้งอยู่ในอกุศลก็ย่อมเป็นการยากที่จะสำเร็จพระอนุตตรธรรม พระคาถาทั้งหมดแห่งมหากรุณาธารณีสูตรมาไว้ในประโยคนี้ มีนัยบ่งบอกถึงความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์ เพื่อโปรดเหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวงให้ได้รับหิตานุหิตประโยขน์ มีพระสัมมาสัมโพธิเป็นหลักชัย เน้นย้ำให้พยายามควบคุมกายใจไม่ให้ลื่นไหลไปตามอารมณ์ที่มากระทบ โน้มนำเอาฌานสมาธิเพ่งการเกิดการดับ เป็นการสาธยายมนต์สรรเสริญพระอริยะ และกล่าวย้ำถึงการปฏิบัติธรรม ต้องละความเป็นตัวตน, บุคคล, เรา-เขา จึงสามารถไม่ให้เกิดความคิดนึกอันเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ได้ความนึกคิดติดยึดไม่เกิด ความเข้าใจถึงธรรมก็จะเป็นที่หวังได้ พระสัทธรรมไม่มีความสิ้นสุด บรรดาผู้ปฏิบัติธรรมย่อมมีความบริสุทธิ์เป็นเครื่องอยู่ นำทางสู่แดนสุขาวดีมีการเกิดย่อมต้องมีการตาย มีความชนะย่อมต้องมีความพ่ายแพ้... แต่ชาวโลกผู้ตกอยู่ภายใต้อวิชชากลับยินดีต่อการเกิดเกลียดชังความตาย ท้ายที่สุดก็ต้องตายอยู่นั่นเอง ฉะนั้นหากต้องการรอดพ้นจากความตาย จะต้องค้นหาความเป็นในความตายให้ได้เสียก่อน ผู้ปฏิบัติต้องสำรวมตาเห็นรูป ไม่ปรุงแต่งไปตามรูปที่มองเห็น สำรวมหูฟังเสียง ไม่ปรุงแต่งไปตามเสียงที่ได้ยิน สำรวมจมูกดมกลิ่น ไม่ปรุงแต่งไปตามกลิ่นที่จมูกดม สำรวมลิ้นรับรส ไม่ปรุงแต่งไปตามรสที่ลิ้นรับ สำรวมกายถูกต้องสัมผัส ไม่ปรุงแต่งไปตามที่ร่างกายถูกต้องสัมผัส สุดท้ายสำรวมใจรับรู้อารมณ์ ไม่ปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ใดๆที่ใจรับรู้ รวมเรียกว่าสำรวมอินทรีย์ ๖ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บรรลุเป็นโพธิสัตว์อันบริสุทธิ์ จงเว้นจากการทำบาป เร่งบำเพ็ญสรรพกุศล ชำระจิตให้สะอาดหมดจด. นี่คือพระธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ธรรมเหล่าใดจะสำเร็จได้ด้วยอาศัยใจเป็นประธาน

ปวดทองบอกโรค


วาทะ


วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

การแว่งแขน สำคัญฉะไหน

ทำไมการเเกว่งเเขน การว่ายน้ำจึงสำคัญนัก

ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมารณรงค์ให้ออกกำลังกายด้วยการเเกว่งเเขนโดยอ้างว่าลดพุงได้อีกด้วย หลายคนเเปลกใจว่าเกี่ยวกันตรงไหน ... ?

เเกว่งเเขน (เเบบตำราเเพทย์ เเผนจีนที่ใช้กันมานับพันปี) บางคนถึงกับหัวเราะเยาะว่า เว่อร์เกิ้น

อย่าเพิ่งดูถูกครับ

ใต้หัวไหล่ที่เรียกว่ารักเเร้นั้นคือชุมทางของต่อมน้ำเหลืองเบ้อเริ่ม
บริเวณขาหนีบนั่นก็ชุมทางของต่อมน้ำเหลืองขนาดใหญ่

การขยับหัวไหล่เเละรักเเร้
     การเเกว่งเเขนก็ดี
     การว่ายน้ำที่ขยับทั้งหัวไหล่เเละขาหนีบก็ดี
     ล้วนเเล้วเเต่เป็นการออกกำลังให้ต่อมน้ำเหลืองขยับเพิ่มการไหลเวียนน้ำเหลือง
     จึงไม่ใช่ของเล่นธรรมดาๆ

ลองอ่านงานเขียนของ Dr. Kimberly Kaye ต่อไปนี้ดูเองก็จะร้องอ่อ ว่าอย่างนี้นี่เอง...
     รู้งี้ทำไปตั้งนานเเล้ว...
     รู้งี้ว่ายน้ำจนเป็นเเชมป์ไปเเล้ว...
     รู้งี้เเขนฉันก็ไม่มีเซลลูไลท์หรอกนะเนี่ย ...

คำว่าระบบน้ำเหลืองนั้นหมายรวมถึง ม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัส ต่อมน้ำเหลืองต่างๆ น้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง นับเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำความสะอาด ชำระล้างของร่างกาย อันจำเป็นต่อ การรักษาสุขภาพให้เเข็งเเรง เยียวยาความเจ็บป่วย

เพราะระบบน้ำเหลืองมีหน้าที่ขนถ่ายของเสีย พิษที่สะสมในร่างกาย เศษของเซลล์ที่ตายเเล้ว ออกไปกำจัดยังอวัยวะที่รับผิดชอบเเละขับออกไปจากร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดขาว เเอนตี้บอดี้ ของระบบภูมิคุ้มกัน ตลอดระยะทางของท่อน้ำเหลืองจะมีต่อมน้ำเหลืองอยู่เป็นระยะๆเพื่อช่วยกรองสารเเปลกปลอม เชื้อโรค ที่มีอันตราย

ตับเป็นอวัยวะที่ทำงานควบคู่ไปกับระบบน้ำเหลือง โดยตับมีหน้าที่สร้างน้ำเหลืองเป็นส่วนมาก เเละตับก็อาศัยน้ำเหลืองนี่เองขนส่งสารอาหารที่ย่อยเเล้วจากตับเเละลำไส้เล็กไปส่งต่อให้กับเซลล์เเละอวัยวะต่างๆ 

ม้ามเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ที่สุดของระบบน้ำเหลือง มีหน้าที่กรอง เเละกำจัดเซลล์เม็ดเลือดเเดงที่หมดอายุ เเละเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ใครก็ตามที่ผ่าตัดเอาม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัสออกไป จะติดเชื้อได้ง่ายขาดภูมิต้านทาน

หากการไหลเวียนของน้ำเหลืองติดขัด จะทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวม อักเสบ 

บริเวณที่น้ำเหลืองไหลเวียนเเละสังเกตได้ชัดเจนได้เเก่ ลำคอ หลังใบหู ท้ายทอย หน้าอก รักเเร้ใต้หัวไหล่ ท้องเเขน หน้าท้องกึ่งกลางระหว่างหน้าอกกับสะดือ บริเวณขาหนีบ

เนื่องจากน้ำเหลืองไม่มีปั้มเหมือนระบบเลือดที่มีหัวใจเป็นปั้ม ดังนั้นการกระตุ้นให้น้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้นจึงต้องพึ่งพิงการออกกำลังกายเเละการหายใจให้ลึกๆเป็นหลัก เพื่อเขย่ากระตุ้นการไหลเวียนน้ำเหลืองด้วยการขยับกล้ามเนื้อ เเละกระบังลม

การเต้นกระโดดบน trampoline ดูจะเป็นวิธีการที่กระตุ้นน้ำเหลืองได้ทั่วร่างกาย หากเต้นไม่ได้ก็อาจใช้วิธี กัวช่า (Gua Sha) การนวดด้วยน้ำมัน การ นวดเเผนไทย

ใครก็ตามที่มักมีอาการ ผิวซีด ซูบซีด หลงๆลืมๆ ติดเชื้อบ่อยๆ เป็นหวัดเจ็บคอ. เสมอๆ เริ่มมีเซลลูไลท์เพิ่มมากขึ้น ให้สงสัยระบบน้ำเหลืองติดขัด ไหลเวียนไม่ดี ทั้งนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยากนักเพราะของเสีย ขยะมีพิษ ตกค้างสะสมนั่นเอง

อย่าละเลยอาการน้ำเหลืองติดขัด โดยไม่ได้รักษาเพราะ นานวันเข้าพิษร้ายอาจทำให้ล้มหมอนนอนเสื่อด้วยมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง
    
     

เขียนโดย Dr. Kimberly Kaye Castaneda



ดูวิธีแกว่งแขนของ
อ.หลี่เฟิ่งซัน  ฟังไม่ออกไม่เป็นไร ให้ดูท่าสาธิตของอาจารย์ ใช้เวลาเพียงนาทีกว่าแต่มีประโยชน์มาก
พยายามแกว่งทุกวันๆละ10นาที ช่วยรักษาโรคต่างๆหายได้อย่างไม่น่าเชื่อเป็นร้อยชนิด ไม่ต้องหาหมอ ไม่ต้องทานยา
http://youtu.be/_iQj_P896t8

อันนี้ข้อมูลดี 1.2 ล้านวิวเลยเปิดดู
http://www.youtube.com/watch?v=RHTUoQep-vw&sns=em

แกว่งแขน ภาษาไทย
http://www.youtube.com/watch?v=buI0ITBCKP0&sns=em

นกที่บินหลงทาง



นกที่บินหลงทาง .....
ที่ภูเขาต้าเยี่ยน มีพระรูปหนึ่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่น ท่านเป็นพระที่เทศน์เก่งมาก ท่านมักจะใช้สิ่งที่มีชีวิตรอบตัวสอดแทรกธรรมะ จากนั้นก็ใช้คำง่ายๆแต่งเป็นโศลก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง อุบาสกท่านหนึ่งถามท่านว่า “มีคนพูดกันว่า การบูชาใดๆต่อพระพุทธเจ้าทั้งปวงในสากลโลก ก็ไม่เท่ากับการบูชาต่อผู้ที่ดำเนินตามทางแห่งมรรคเพียงคนเดียว ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าทั้งปวงเป็นอย่างไร? คนเดินตามทางเดินแห่งมรรคมีบุญกุศลใด”
พระรูปนั้นพูดเป็นโศลกว่า “เพียงแค่มีเมฆหมอกมาบดบัง นกก็ยังหลงทางบินกลับรัง”
... เป็นเพราะว่ามีเมฆหมอกมาปิดทางกลับรังของนก นกจึงหาทางกลับรังไม่ถูก ถ้าเรามัวแต่บูชาพระพุทธองค์ จิตย่อมจดจ่อและยึดติดอยู่กับองค์พระ ทำให้ตัวเองกลับเดินหลงทาง ผู้ที่เดินตามทางแห่งมรรคย่อมทำให้จิตตัวเองสะอาด และสว่างกลับมารู้จักตัวเอง จิตจึงไม่หลงทาง
อุบาสกคนนั้นถามต่อว่า
“โบสถ์วิหารเป็นดินแดนแห่งความสงบและสะอาด ทำไมถึงต้องตีกลองและเคาะปลาไม้”
พระรูปนั้นตอบเป็นโศลกว่า “เพื่อตีให้เสียงก้องกังวานไป เพื่อมิให้เหล่ามังกรนั่งคำนับ”
... วัดที่เงียบสงบต้องตีกลองและเคาะปลาไม้ มีความหมายที่ลึกซึ้งแฝงอยู่ในนั้น ธรรมดาปลาอยู่ในน้ำ ไม่เคยปิดตา ดังนั้นการเคาะปลาไม้ จึงเป็นการแสดงถึงความขยันฝึกฝน ไม่เกียจคร้าน การตีกลองก็เพื่อย้ำเตือนให้ผู้คน เลิกทำบาป และสร้างกุศล
อุบาสกท่านนั้นถามต่ออีกว่า “เมื่อปฏิบัติธรรมอยู่กับบ้านก็ได้ ทำไมถึงต้องออกบวชอีก”
พระรูปนั้นตอบเป็นโศลกว่า “นกยูงแม้จะมีปีกที่สวยงาม แต่ก็บินได้ไม่สูงเฉกเช่นนกอื่น”
___________
ที่มา : ZEN
❝... สิ่งแรกที่เธอควรจะทำก็คือ ฝึกที่จะกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ
อยู่กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าของเธอ
สิ่งที่เธอจะจัดการกับการรับรู้ที่ผิด (wrong perception) ได้
คือเธอต้องฝึกที่จะอยู่กับปัจจุบัน
เบิกบานกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ณ ขณะนั้นอย่างแท้จริง...
...เมื่อเธอเดิน เธอเพียงเดินเท่านั้น เบิกบานกับสิ่งนั้น
เมื่อกิน เธอก็เพียงกิน ไม่ต้องคิด
นี่เป็นการฝึกปฏิบัติที่ลึกซึ้ง
มีเพียงการกระทำอย่างเต็มร้อยกับสิ่งที่กำลังทำอยู่
เบิกบานกับสิ่งนั้นที่ปรากฏเป็นจริง
ก็จะทำให้เธอเข้าใจถึงสิ่งที่ผ่านมา
และกำหนดสิ่งที่จะเป็นไปในอนาคต...
...เมื่อเธอกำลังกินอาหาร อาหารนั้นแสนจะอร่อย
แต่เธอกลับครุ่นคิดถึงโครงการต่างๆ เธอไม่รับรู้ถึงรสอาหารนั้นหรอก
เพราะโครงการต่างๆ อยู่ในหัวใจ อยู่ในสมอง
มันเป็นทั้งหมดของตัวเธอ มันไม่เหลือพื้นที่ใดๆ ให้เธอรับรสอาหาร...
...นี่คือสิ่งที่เธอต้องเรียนรู้ เมื่อเดิน ขอให้ตั้งใจกับการเดิน
เมื่อกินก็อยู่กับการกิน นี่คือการฝึกปฏิบัติตัวเรา
ฝึกปฏิบัติเพื่อจะสัมผัสกับชีวิต
เมื่อเธอเดิน แต่เธอไม่ได้สัมผัสกับการเดินนั้นเลย
ไม่ได้สัมผัสกับสิ่งรอบข้าง ชีวิตของเธออยู่ตรงไหน
หากเธอเดินด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม เธอจะเห็นสรรพสิ่งรอบข้าง
แต่ถ้าเธอไม่รับรู้ เธอไม่รู้ว่าเธอกำลังเดิน
ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น อยู่กับการคิด เธอพลาดการมีชีวิตตรงนั้น..
...ดังนั้นเพื่อจะพบกับความเบิกบาน
เธอควรฝึกที่จะมีสติกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเธอ..
เหมือนเด็กที่กำลังกินชอคโกแลต เมื่อเราถามแกว่า ทำไมถึงชอบกินชอคโกแลต มันอร่อยตรงไหน แกตอบไม่ได้ เพราะแกชอบช็อคโกแลต มีความสุขกับการกินช็อคโกแลต มันไม่มีเหตุผล ไม่มีการคิดคำนวณ ...❞
/ หลวงแม่ดอร์งิม พระภิกษุณีธรรมาจารย์ หมู่บ้านพลัม
ธรรมบรรยายภาวนาสร้างสุขภาวะด้วยลมหายใจและรอยยิ้ม
ณ ศูนย์พัฒนคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
__________
ที่มา : ZEN

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

ดูอย่างเป็นวิปัสสนา


"ดูอย่างเป็นวิปัสสนา"
ดูกาย เห็นร่างกายหายใจ เพื่อจะได้เกิดปัญญาเห็นว่าร่างกายนี้มันไม่เที่ยงนะ เดี๋ยวก็หายใจเข้า เดี๋ยวก็หายใจออก ร่างกายนี้มีแต่ทุกข์บีบคั้น หายใจเข้าก็เพื่อแก้ทุกข์ หายใจออกก็เพื่อแก้ทุกข์ หายใจเข้าหายใจออกก็คือการเปลี่ยนอิริยาบถ ปิดบังทุกข์ไว้ ร่างกายที่หายใจอยู่เป็นวัตถุธาตุนะ ไม่ใช่เราหรอก หายใจก็เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์อย่างนี้ ถึงจะเดินปัญญา
ดูเวทนาก็ไม่ใช่เพื่อฉันจะชนะเวทนา คนที่นั่งสมาธิปวดเมื่อย จะนั่งเอาชนะเวทนา นั่งเอาชนะเวทนาได้ขันติได้อะไรต่ออะไร ได้อธิษฐานบารมีตั้งใจมั่น แต่ไม่ใช่ปัญญา ถ้าจะเอาชนะเวทนาก็นั่งไปจนเห็นว่าเวทนาเป็นของไม่เที่ยงนะ เวทนาเป็นของทนอยู่ไม่ได้ เวทนาเป็นของบังคับไม่ได้ อย่างนี้เป็นการนั่งวิปัสสนาเดินปัญญา
ดูจิตก็ไม่ใช่ไปประคองจิตให้นิ่งให้ว่าง แต่เพื่อให้เห็นว่าจิตเป็นไตรลักษณ์ จิตมันไม่เที่ยงนะ จิตมันเป็นทุกข์นะ มันถูกบีบคั้นด้วยตัณหาตลอดเวลา จิตเป็นของบังคับไม่ได้นะ สั่งให้ดีก็ไม่ได้ ห้ามชั่วก็ไม่ได้ สั่งให้สุขก็ไม่ได้ ห้ามทุกข์ก็ไม่ได้ อย่างนี้จิตเป็นอนัตตา อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเดินวิปัสสนาอยู่
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

ปวดท้องบอกโรค


ธรรมชาติที่แท้ดั้งเดิม



ธรรมชาติที่แท้ดั้งเดิม
เป็นอิสระในลักษณะแห่งรูปลักษณ์
และความว่างที่แบ่งแยกจากกันไม่ได้ 
เป็นเอกภาพที่กระจ่างชัดแห่งความ สว่างไสว

ความว่าง มันเป็นความอิสระที่เปิดโล่
แผ่ซ่านไปทั่วอย่างสมบูรณ์แม้ในธรรมที่เกิดเอง

นี่เป็นแกนแห่งหลักธรรม
เป็นอยู่ตามธรรมชาติ ของมัน
ปรากฏอยู่เองแต่ดั้งเดิม
และเป็นแก่นแห่งสังสาระและนิพพาน
ไม่มี หลักธรรมอื่นนอกเหนือจากนี้อีก

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทุกคนมีอดีต


คนเราที่เจอกัน.....ไม่ใช่เรื่อง "บังเอิญ"



คนเราที่เจอกัน.....ไม่ใช่เรื่อง "บังเอิญ" อยู่ที่ "บุญ" ที่เคยร่วมทำกันมา

เมื่อมีวาสนา.....ไม่ต้่องเรียกร้อง....ถึงเวลาก็มาเจอกัน

เมื่อสิ้นวาสนา.....ก็ต้องจากกันไป รังอย่างไรก็ไม่อยู่

ดังนั้น....ในตอนที่เรายังไม่จากกัน เราได้กระทำดีต่อคนที่แวดล้อมเราแล้วหรือยัง....

เพราะเมื่อหมด "สัญญากรรม" แล้ว.... ไม่ว่เราจะมีเงินหรือมีอำนาจจนล้นฟ้า ก็ไม่สามารถเรียกร้อง กลับคืนมาได้ .... และไม่รู้ว่าจะกี่ภพกี่ชาติถึงจะได้เจอกันอีก

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

การบำเพ็ญบารมีของกลุ่มจิตวิญญาณพระโพธิสัตว์



เรื่อง การบำเพ็ญบารมีของกลุ่มจิตวิญญาณพระโพธิสัตว์

มนุษย์ไม่เหมือนสัตว์ชนิดใดในสามภพนี้ เพราะได้รับการวางแบบแผนการชำระกรรมในแบบที่แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ กล่าวคือ สัตว์ชนิดอื่นๆ จะมีแบบแผนการรับกรรมแบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น เช่น เทวดา มีแบบแผนในการรับกรรมแบบเทวดาเท่านั้น, ยักษ์อสูร มีแบบแผนในการรับกรรมแบบยักษ์อสูรเท่านั้น, สัตว์เดรัจฉาน เช่น หมา มีแบบแผนการรับกรรมแบบหมา เท่านั้น ยกเว้นมนุษย์ ที่มีแบบแผนการรับวิบากกรรมที่หลากหลายโดยสังขารของมนุษย์จะเป็นที่รวม ที่อาศัยของดวงจิตมากมาย หลายแบบ ดวงจิตแบบใดเข้ามาประสานในกายสังขารมนุษย์ มนุษย์ก็ต้องชำระวิบากกรรมตามแบบนั้นๆ ดังนั้น ในช่วงชีวิตหนึ่งของมนุษย์จึงผกผัน เปลี่ยนแปลงมากมาย เพราะมนุษย์นั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ เกิดได้ยาก และอยู่ยอดพีรามิดของสัตว์โลกทุกชนิด กินสัตว์อื่นๆ ได้ทั้งหมด แต่ไม่มีสัตว์ชนิดใดที่ถูกสร้างมาเพื่อให้ล่ามนุษย์กินเป็นอาหาร (นอกจากสัตว์ชนิดนั้น มีความแค้น เป็นเจ้ากรรมนายเวรมนุษย์บางคน ก็อาจฆ่ามนุษย์กินได้) แนวทางนี้ถูกใช้มานานแล้ว ทว่า ก็มีสัตว์เดรัจฉานที่มีกายสังขาร เป็นที่อาศัยร่วมกันของดวงจิตได้มากกว่าหนึ่งดวงเหมือนกัน ที่มีดวงจิตจรมาอาศัยในกายสังขารของสัตว์ได้มากกว่าหนึ่งดวง เช่น ในกรณีที่สัตว์เดรัจฉานชนิดนั้นๆ บำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวด ดวงจิตดวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน อยู่ในกลุ่มจิตเดียวกัน ก็จะมาอาศัยร่วมบารมีด้วย เช่น สัตว์ที่สละชีพให้คนกิน, สัตว์ที่เป็นพาหนะทรงในการกอบกู้เอกราชชาติไทย ฯลฯ บางครั้ง สัตว์พิเศษเหล่านี้ มีดวงจิตพิเศษบางดวงมาอาศัยในบางขณะด้วย แม้แต่เทพนักษัตร ก็สามารถเข้ามาประสานในกายสังขารของสัตว์เดรัจฉานขณะบำเพ็ญบารมียิ่งยวดได้ อันนี้ เกิดขึ้นได้เฉพาะกรณีที่พิเศษจริงๆ เท่านั้น เพราะสัตว์เดรัจฉานนั้น ปกติ เกิดมารับกรรมต้องเป็นเดรัจฉาน ทำคุณงามความดีไม่ค่อยได้ ไม่เหมือนมนุษย์ที่มีกายสังขารพร้อมสร้างบุญบารมีอย่างเต็มที่ ดังนั้น จิตวิญญาณมากมาย จึงฉลาดพอที่จะประสานเข้าในกายมนุษย์ เลือกกายสังขารมนุษย์ ไม่ได้เลือกกายสังขารของสัตว์อื่นๆ ดังนี้ จิตวิญญาณหนึ่งกลุ่ม จึงไม่ต้องมีกายสังขารเป็นมนุษย์ทั้งหมด เพียงกายสังขารเดียว ก็เป็นที่อาศัยร่วมกันของจิตวิญญาณได้ถึง ๘๙ ดวงจิตวิญญาณแล้ว ใน ๘๙ ดวงจิตวิญญาณนี้ จะมีจิตวิญญาณสองประเภทคือ

๑) จิตวิญญาณดวงหลัก
ปกติจะมีดวงเดียว ยกเว้นบางท่านที่มีบารมีมากจริงๆ สามารถมีจิตวิญญาณหลักได้ถึงสองดวงจิต แต่แบบนี้พบน้อย ปกติแล้วมีจิตวิญญาณหลักดวงเดียวเท่านั้น จิตวิญญาณดวงหลักนี้ จะเป็นดวงที่มีช่วงเวลาอยู่ในกายสังขารนานที่สุด และบำเพ็ญบารมีอยู่มากที่สุด จึงเป็นดวงที่มีบารมีมากที่สุด อุปมาเหมือนดวงอาทิตย์ที่เป็นจุดศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาลฉะนั้น ส่วนจิตดวงอื่นๆ จะมีบารมีน้อยกว่าลงไป อุปมาเหมือนดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลนั่นเอง ปกติ จิตวิญญาณดวงหลักจะเป็นตัวนำจิตดวงอื่นๆ

๒) จิตวิญญาณดวงรองๆ
ปกติ มีจำนวนมาก ถ้าในกายสังขารมีจิตจรเข้าออกทั้งชีวิต ๘๙ ดวง จะเป็นจิตวิญญาณรองไปเสีย ๘๘ ดวง จะมีจิตวิญญาณหลักเพียงดวงเดียวเท่านั้นที่เป็นหลักประจำกายสังขารหนึ่งๆ ที่เรียกว่า “จิตสังขาร” นั่นเอง นอกนั้นเป็นจิตวิญญาณรองๆ ทั้งสิ้น ซึ่งจิตวิญญาณรองๆ นี้ ทำหน้าที่ส่งเสริมและประสานการทำงานของจิตวิญญาณหลัก บางทีจะไปเกิดล่วงหน้า ก่อนที่จิตวิญญาณหลักจะละสังขารก็มี บางทีก็มาเกิดเก็บงานตามหลัง หลังจากจิตวิญญาณดวงหลักบำเพ็ญบารมียิ่งยวดแล้วก็มี ดังนั้น จึงดูคล้ายว่าโพธิสัตว์นั้นเกิดบ่อยมาก เพราะมีดวงจิตมากอย่างนี้เอง จิตดวงใดไปเกิดมีกายสังขารแล้ว จิตดวงอื่นที่อยู่ในโลกทิพย์ก็สามารถเข้าไปอาศัย ไปประสานในกายสังขารนั้นๆ ร่วมกันได้

ในพระลามะทิเบต จะตามหาเด็กที่เกิดใหม่ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ละสังขารแล้วของตน ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ โดยจิตวิญญาณหลักของท่านมักพักอยู่เบื้องบนก่อนแต่จิตวิญญาณดวงรองจะเกิดอีก เพื่อทำหน้าที่สืบทอดงานที่คั่งค้างต่อไป นี่คือวิธีบริหารกลุ่มจิตวิญญาณ

แปลกจริงแปลกใจ หลานชายกลับได้แต่งกับย่า



แปลกจริงแปลกใจ หลานชายกลับได้แต่งกับย่า
ในสมัยพระเจ้าเหลียงอู่ตี้ มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อว่า จื้อกง สำเร็จทิพยจักษุและฉฬภิญญา แทงทะลุในเหตุและผลกรรมได้อย่างแจ่มแจ้ง ครั้งหนึ่งมีคหบดีนิมนต์ท่านไปสวดพุทธมนต์ในงานวิวาห์ แต่ครั้นท่านมาถึงบ้านที่จัดงาน กลับทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า
แปลกจริงแปลกใจ หลานชายกลับได้แต่งกับย่า
ลูกสาวกินเนื้อมารดา หนังบิดาถูกลูกชายขึงตีกลอง
หมูแพะนั่งเคียงบนเตียงใหญ่ หม้อไฟตุ๋นญาติหกรุ่นไว้ทั้งผอง
ผู้คนร่วมยินดีอย่างเนืองนอง ข้าแลเห็นทุกข์หมองเต็มประดา
ถ้อยคำนี้หมายความว่าอย่างไร? ที่ว่าหลานชายแต่งงานกับย่าตัวเอง เราเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดหรือไม่? ที่จริงแล้วก่อนที่ย่าจะสิ้นใจ ตอนนั้นเจ้าบ่าวยังเป็นทารกน้อย นางขอหลานมาอุ้มไว้ไม่อยากจะปล่อยเขาจากอ้อมกอด แล้วบอกว่า "พวกเจ้าล้วนมีครอบครัวเป็นตัวตน แต่หลานต้วน้อยของข้าไม่มีใครคอยดูแลเขาเลย อนิจจาเอ๋ย จะทำอย่างไรดี?" ว่าแล้วนางก็ขาดใจตายไป
เมื่อดวงวิญญาณไปถึงยมโลก พญายมมีโองการว่า "ดีล่ะ ในเมื่อรักหลานของเจ้านัก ก็จงกลับไปเกิดเป็นเมียคอยดูแลเขาแล้วกัน" ว่าแล้วผู้เป็นย่าก็เกิดใหม่กลายเป็นว่าที่ฮูหยินของหลานชาย จะเห็นได้ว่ากฎแห่งกรรมช่างน่าสะพรึงกลัวเสียนี่กระไร
ที่ว่า "ลูกสาวกินเนื้อมารดา" ที่ด้านนอกของบ้าน หญิงสาวคนหนึ่งกำลังกินเนื้อแพะอย่างเอร็ดอร่อย หารู้ไม่ว่าแพะตัวนั้นเคยเป็นแม่ของเธอในชาติก่อน ที่ว่า "หนังบิดาถูกลูกชายขึงตีกลอง" พระเถระมองเห็นพวกมโหรีปี่พาทย์กำลังเป่าปี่ตีกลองน่าตื่นเต้นยิ่ง มีหนุ่มคนหนึ่งกำลังรัวกลองหนังลาอย่างเมามัน หารู้ไม่ว่าลาเจ้าของหนังหน้ากลองเคยเป็นพ่อของเขาในชาติก่อน
พระเถระจื้อกงมองเห็นผู้คนนั่งอยู่บนเตียงรับรอง จึงกล่าวว่า "หมูแพะนั่งเคียงบนเตียงใหญ่" แล้วมองไปที่หม้อไฟกล่าวว่า "หม้อไฟตุ๋นญาติหกรุ่นไว้ทั้งผอง" ตอนนี้พวกหมูกับแพะที่เคยถูกเขาฆ่าเอาเนื้อ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วกลับมานั่งกินมนุษย์ที่เกิดเป็นสัตว์ซึ่งเคยฆ่าพวกเขามาก่อน พวกเครือญาติทั้ง 6 ชั้นที่เคยกินเนื้อหมูเนื้อแพะตอนนี้ต้องมาถูกสับเป็นชิ้นๆ แล้วตุ๋นในหม้อไฟ ชำระวิบากกรมที่ทำไว้
"ผู้คนร่วมยินดีอย่างเนืองนอง ข้าแลเห็นทุกข์หมองเต็มประดา" ทุกคนล้วนคิดว่าเป็นงานเฉลิมฉลองสุขสันต์ แต่พระเถระจื้อกงกลับทอดถอนใจ กล่าวว่า "นี่ช่างทุกข์มหันต์ยิ่งนัก ผู้คนเห็นผิดคิดว่าทุกข์เป็นสุข!"
*จากธรรมเทศนาของพระอาจารย์เซวียนฮว่า เรื่อง "รู้เหตุย่อมซึ้งถึงผล"
*เชิงอรรถ
1. พระเจ้าเหลียงอู่ตี้ (梁武帝) หรือ เซียวเหยี่ยน แห่งราชวงศ์เหลียง (คร. 502–549) ทรงเป็นฮ่องเต้ที่มีศรัทธาปสาทะในพระบวรพุทธศาสนามากที่สุดองค์หนึ่งของจีน ทรงรับศีลอุบาสกตลอดพระชนม์ชีพ มีพระบรมราชโองการสั่งห้ามการทำปาณาติบาต เข่นฆ่าชีวิตสัตว์สังเวยบรรพชน และยกเว้นโทษประหารชีวิต จนได้รับการถวายพระนามเป็น "ฮ่องเต้โพธิสัตว์"
2. พระเถระจื้อกง (誌公) หรือ พระฌานาจารย์เป่าจื้อ (寶誌禪師) พระเถระองค์สำคัญในยุคหนานเป่ย มีพฤติกรรมแปลกประหลาดพิสดาร ไว้ผมยาว ไม่ค่อยกินนอน เดินเตร่เท้าเปล่าไปตามท้องถนน ชอบทำนายทายทักผู้คน ฮ่องเต้ฉีอู่ตี้เห็นว่าท่านอาจมอมเมาผู้คน จึงทรงสั่งให้คุมขังไว้ แต่ในวันรุ่งขึ้นกลับมีคนเห็นท่านเดินเตร่อยู่ตามท้องถนนอีก จนฮ่องเต้ต้องยอมนิมนต์ท่านเข้ามาในวัง ครั้นถึงรัชสมัยพระเจ้าเหลียงอู่ตี้ จึงมีบัญชาว่า พระอาจารย์เป็นโลกตุรบุคคล อยู่เหนือกฎเกณฑ์โลกียะทั้งปวง ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายใดๆ และห้ามผู้ใดขัดขวางจริยาของท่าน
3. เตียง (炕) ในที่นี้หมายถึงเตียงใหญ่สำหรับนั่งเอกเขนก หรือสำหรับนอน ในภาคเหนือของจีนจะเจาะช่องสุมไฟไว้ให้ความอบอุ่น สามารถใช้เป็นที่นั่ง ที่นอน ที่ทำกิจกรรมได้สารพัด
4. ญาติหกรุ่น หรือญาติทั้งหก (六親) คือ พ่อ แม่ พี่ น้อง เมีย ลูก
5. ภาพประกอบวาดโดย ไต้ตุนปาง (戴敦邦) จิตรกรจีนร่วมสมัย ผู้เก่งกาจในการวาดภาพประกอบจากวรรณคดีโบราณ ภาพนี้คาดว่ามาจากเรื่องความฝันในหอแดง

วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตาารางสำรวจเวลาของชีวิต



- ท่านผู้สูงอายุครับ ลองดูสิว่าเวลาเราเหลืออยู่แค่ไหน ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างไรดีบ้างให้คุ้มกับการที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ นะครับ ( อยู่บนบรรทัดฐานของความถูกต้องด้าม มโนธรรม และ จริยธรมม นะครับ)


วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

เรื่องของกรรม

"คนส่วนมากยังมีความเชื่อว่า มีผู้ดลบันดาลให้เกิดสิ่งต่างๆขึ้น แต่ทางพระพุทธศาสนาได้แสดงว่า คนมีกรรมเป็นของตน จะมีสุขหรือทุกข์เพราะกรรม ผู้คนเลยหันมากลัวกรรม กรรมจึงคล้ายเป็นผู้เคราะห์ร้าย ที่ถูกเข้าใจในทางร้ายอยู่เสมอ กรรมจึงกลายเป็นอดีตที่น่ากลัว พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนกลัวกรรม ไม่ได้สอนให้ตกเป็นทาสของกรรม หรืออยู่ใต้อำนาจของกรรม แต่สอนให้รู้จักกรรม ให้มีอำนาจเหนือกรรม ให้ควบคุมกรรมของตนในปัจจุบัน"
"กรรม คือการอะไรทุกอย่างที่คนทำอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ประกอบด้วยเจตนา คือความจงใจ หลักใหญ่ของพระพุทธศาสนามุ่งให้พิจารณา ให้รู้จักปัจจุบันกรรมของตนว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรควรหรือไม่ควร เพื่อที่จะได้เว้นกรรมที่ชั่วที่ไม่ควร เพื่อจะทำกรรมที่ดีที่ควร พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสไว้ว่า บุคคลสามารถที่จะละกรรมที่ชั่ว กรรมที่ไม่ดีได้ จึงได้ตรัสไว้ให้ละกรรมที่ชั่ว ทำกรรมที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงว่า คนมีอำนาจเหนือกรรมอาจควบคุมกรรมของตนได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า ต้องควบคุมจิตเจตนาของตนได้ด้วย โดยตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ในธรรม เช่น เมตตา สติ ปัญญา สัจจาธิษฐาน และ

เวลาว่างให้นึกถึงพระพุทธเจ้า

เวลาว่างให้นึกถึงพระพุทธเจ้า คือนึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราชอบ ตั้งใจนึกถึง การนึกถึงพระพุทธรูปให้อยู่ภายในอกหรือภายนอกกายก็ได้ตามใจชอบ ถ้าอย่างไหนคล่องทำอย่างนั้น ... ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่มีการจำกัดเวลา พยายามทำให้ชิน ถ้านึกถึงเห็นภาพทันทีทันใด แสดงว่าเวลานั้นท่านมีฌานในพุทธานุสสติกรรมฐาน ขอยืนยันว่าการตายของท่านจะไปอบายภูมิไม่ได้ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

How to ต้มไข่อย่างเทพ สั่งความสุกได้ดั่งเทวดาเสก



1 
Tips เตรียมตัวก่อนต้ม: เลือกซื้อ & เก็บไข่

- ไข่ยิ่ง เบอร์น้อย = ลูกยิ่งใหญ่เลือกซื้อไข่ให้สดใหม่ เปลือกไข่สาก ลูกหนัก หากซื้อในซุปเปอร์มาเก็ตให้ดูที่วันผลิต MFG แล้วเลือกกล่องที่สดที่สุด
- ก่อนต้มเอาไข่ไก่ออกมาวางให้อยู่ในอุณหภูมิห้อง หากอยู่ในตู้เย็นแล้วมาต้มเลยจะทำให้ไข่แตก
- ไข่ยิ่งใหญ่ ยิ่งต้องต้มนาน ไข่เป็ดใช้เวลาต้มนานกว่าไข่ไก่ 1-2 นาที
2 
มาตรฐานน้ำหนักไข่ไก่

 
ไข่ไก่มีหลายขนาด โดยแบ่งเป็นเบอร์ตามน้ำหนักของไข่แต่ละฟอง ดังนี้

เบอร์ 0 = น้ำหนัก 70 กรัมขึ้นไป ต่อฟอง
เบอร์ 1 = น้ำหนัก 65 - 70 กรัมต่อฟอง
เบอร์ 2 = น้ำหนัก 60 - 65 กรัมต่อฟอง
เบอร์ 3 = น้ำหนัก 55 - 60 กรัมต่อฟอง
เบอร์ 4 = น้ำหนัก 50 - 55 กรัมต่อฟอง
เบอร์ 5 = น้ำหนัก 45 - 50 กรัมต่อฟอง
3 
ขั้นตอนการต้ม

  1. ล้างไข่ให้สะอาด
  2. ต้มน้ำในหม้อให้เดือด ไฟปานกลาง >> สำคัญมาก ต้องต้มน้ำให้เดือดก่อนจะทำอย่างอื่นนะ !!
  3. ใส่เกลือหรือน้ำมะนาว เพื่อช่วยไม่ให้เปลือกร้าวและไข่ไหลทะลักออกมา
  4. ใส่ไข่ลงไป ... เริ่มจับเวลา!
4 
จับเวลา กำหนดระดับความสุก!



เวลาที่ใช้ต้มไข่ เป็นตัวแปะที่สำคัญที่สุดกำหนดระดับความสุกของไข่เลยดังนี้ !
  • 4 นาที = ไข่แดงยางมะตูม 
  • 6 นาที = ไข่ต้มสุก ไข่แดงเป็นสีส้มเกือบสุก
  • 8 นาที = ไข่ต้มสุกทั้งใบ ไข่แดงสุกแต่ยังเป็นสีส้ม 
  • 10 นาที = ไข่ต้มสุกมากทั้งใบ ไข่แดงสุกมากเป็นสีส้มอ่อน 
* ไข่แดงมีอุณหภูมิต่ำกว่าไข่ขาว ดังนั้นไข่ขาวจะสุกเร็วกว่า** ความสุกของไข่ขึ้นอยู่กับขนาดและอุณหภูมิของไข่ด้วย
5 
Tips การแกะเปลือกไข่


เอาหละ เมื่อต้มเสร็จแล้วก็ได้เวลาแกะ! ตรงจุดนี้ก็มี tips อีกเช่นกัน เพื่อให้แกะไข่ได้ง่าย ให้ตักไข่ออกจากหม้อลงมาแช่น้ำเย็นจัดทันที เปลือกไข่จะหลุดร่อนออกมาจากเนื้อไข่ จากนั้นใช้หลังช้อนกระเทาะรอบๆ เปลือกไข่ จะทำให้แกะง่าย
6 
Tips การหั่นไข่


วิธีหั่นที่จะให้ได้ไข่สวยๆ คือ ใช้มีดจุ่มน้ำร้อนแล้วจึงนำมาหั่นหรือจะใช้เส้นด้ายดึงให้ตึงในการผ่าไข่ จะได้ไข่ที่สวยงาม เนื้อไม่แตก


รู้วิธีลวกและต้มไข่กันแบบง่ายๆ ไปแล้ว ทีนี้ไม่ว่าจะอยู่หอหรืออยู่บ้านก็แฮปปี้เลือกความสุกของไข่ได้ตามคุณกันแล้ว! หรือถ้าคุณมีวิธีการต้มแบบอื่นๆ หรือชอบทานไข่แบบไหนก็เอามาแชร์กับวงในกันได้นะ :)
อ้างอิง : 

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558

เมื่อรู้เท่ารู้ทัน จิตก็คืนสู่ความว่าง

...... เมื่อรู้เท่ารู้ทัน จิตก็คืนสู่ความว่าง ......
.
.
เธอไม่ต้องไปกลัวความคิดปรุงแต่ง, 
และไม่ต้องมัวเสียแรงเพื่อจะหยุดยั้งมัน,
เธอจงเพียงรับรู้ว่า
นั่น...ความคิดปรุงแต่ง !
ไม่ยึดติดจมปลักอยู่กับมัน
ไม่เลื่อนไหลฟุ้งไปกับมัน
และไม่ต้องหลงต่อต้านมัน !
เมื่อเธอไม่หลงเข้าไปผูกพันแล้ว
ความคิดปรุงแต่งมันก็จากไปเอง.
ดังที่กล่าวว่า
"เมื่อความคิดเกิดก็ให้รู้สึก เมื่อรู้สึกความคิดก็จากไปเอง"
หากเธอสามารถช่วงใช้ความคิดปรุงแต่ง มาช่วยในการวิปัสสนา
ก็จงสังเกตดูว่า ความคิดมันเริ่มต้นปรุงแต่งขึ้นมาจากที่ตรงไหน !
ความจริงแล้ว ความคิดปรุงแต่งมันก็ไม่ได้มีตัวมีตนอะไรที่ไหน
เมื่อรับรู้เท่าทันมันก็ว่าง , และกลับคืนลงสู่ความว่างเปล่าของจิต,
เมื่อนั้น สภาวะที่แท้ อันบริสุทธิ์แห่งพุทธะ จึงปรากฏทันที...!
.
.
.
หลวงปู่ชวีหยูน ปรมาจารย์เซนแห่งยุค
28/7/2014 บารมี ศรีอริยทรัพย์ แปล

ไม่ใช่เหตุบังเอิญ

การที่คนเราเจอกัน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่อยู่ที่ "บุญ กรรม" ที่เคยทำร่วมกันมา เมื่อถึงเวลา "วาสนา และการชดใช้กรรม ก็เรียกร้องให้ต้องพบเจอ เมื่อหมดเวลา หมดวาสนา หมดบุญ หมดกรรมก็จากันไป เพราะฉะนั้น เมื่อยังมีเวลาก็หมั่นทำความดี ตัดกรรมตัดเวร อย่าทำความความชั่ว หรือสร้างความสัมพันธ์ต่อไป เพื่อที่จะพบเจอกันในอีกภพหน้า ชาติหน้าเลย เพราะ "ชีวิตนี้สั้นนัก" อย่ารอให้สายเกินไป


วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

การแกว่งแขน

󾮜ทำไมการเเกว่งเเขน การว่ายน้ำจึงสำคัญนัก󾁉󾮗󾁉󾁅󾁉

󾭵ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมารณรงค์ให้ออกกำลังกายด้วยการเเกว่งเเขนโดยอ้างว่าลดพุงได้อีกด้วย หลายคนเเปลกใจว่าเกี่ยวกันตรงไหน ... ?󾁎󾁅󾁎

󾭵เเกว่งเเขน (เเบบตำราเเพทย์ เเผนจีนที่ใช้กันมานับพันปี) บางคนถึงกับหัวเราะเยาะว่า เว่อร์เกิ้น󾁀

󾮜อย่าเพิ่งดูถูกครับ󾮕󾁅󾮕

󾭵ใต้หัวไหล่ที่เรียกว่ารักเเร้นั้นคือชุมทางของต่อมน้ำเหลืองเบ้อเริ่ม
บริเวณขาหนีบนั่นก็ชุมทางของต่อมน้ำเหลืองขนาดใหญ่󾁉󾁅󾁉

󾭵การขยับหัวไหล่เเละรักเเร้
     󾭶การเเกว่งเเขนก็ดี
     󾭶การว่ายน้ำที่ขยับทั้งหัวไหล่เเละขาหนีบก็ดี
     󾭶ล้วนเเล้วเเต่เป็นการออกกำลังให้ต่อมน้ำเหลืองขยับเพิ่มการไหลเวียนน้ำเหลือง
     󾭶จึงไม่ใช่ของเล่นธรรมดาๆ

󾮜ลองอ่านงานเขียนของ Dr. Kimberly Kaye ต่อไปนี้ดูเองก็จะร้องอ่อ ว่าอย่างนี้นี่เอง...
     󾭶รู้งี้ทำไปตั้งนานเเล้ว...
     󾭶รู้งี้ว่ายน้ำจนเป็นเเชมป์ไปเเล้ว...
     󾭶รู้งี้เเขนฉันก็ไม่มีเซลลูไลท์หรอกนะเนี่ย ...󾁉󾁀󾁉󾁅󾁉

󾭵คำว่าระบบน้ำเหลืองนั้นหมายรวมถึง ม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัส ต่อมน้ำเหลืองต่างๆ น้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง นับเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำความสะอาด ชำระล้างของร่างกาย อันจำเป็นต่อ การรักษาสุขภาพให้เเข็งเเรง เยียวยาความเจ็บป่วย󾀿󾁀󾀿

󾭵เพราะระบบน้ำเหลืองมีหน้าที่ขนถ่ายของเสีย พิษที่สะสมในร่างกาย เศษของเซลล์ที่ตายเเล้ว ออกไปกำจัดยังอวัยวะที่รับผิดชอบเเละขับออกไปจากร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดขาว เเอนตี้บอดี้ ของระบบภูมิคุ้มกัน ตลอดระยะทางของท่อน้ำเหลืองจะมีต่อมน้ำเหลืองอยู่เป็นระยะๆเพื่อช่วยกรองสารเเปลกปลอม เชื้อโรค ที่มีอันตราย󾁎󾁆󾁎

󾭵ตับเป็นอวัยวะที่ทำงานควบคู่ไปกับระบบน้ำเหลือง โดยตับมีหน้าที่สร้างน้ำเหลืองเป็นส่วนมาก เเละตับก็อาศัยน้ำเหลืองนี่เองขนส่งสารอาหารที่ย่อยเเล้วจากตับเเละลำไส้เล็กไปส่งต่อให้กับเซลล์เเละอวัยวะต่างๆ 󾁎󾁅󾁎󾁀󾁎

󾭵ม้ามเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ที่สุดของระบบน้ำเหลือง มีหน้าที่กรอง เเละกำจัดเซลล์เม็ดเลือดเเดงที่หมดอายุ เเละเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย󾁉󾁅󾁉󾁀󾁉

󾭵ใครก็ตามที่ผ่าตัดเอาม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัสออกไป จะติดเชื้อได้ง่ายขาดภูมิต้านทาน󾁉󾁅󾁉

󾭵หากการไหลเวียนของน้ำเหลืองติดขัด จะทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวม อักเสบ 󾁎󾁅󾁉󾁀󾁎

󾭵บริเวณที่น้ำเหลืองไหลเวียนเเละสังเกตได้ชัดเจนได้เเก่ ลำคอ หลังใบหู ท้ายทอย หน้าอก รักเเร้ใต้หัวไหล่ ท้องเเขน หน้าท้องกึ่งกลางระหว่างหน้าอกกับสะดือ บริเวณขาหนีบ󾁅

󾭵เนื่องจากน้ำเหลืองไม่มีปั้มเหมือนระบบเลือดที่มีหัวใจเป็นปั้ม ดังนั้นการกระตุ้นให้น้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้นจึงต้องพึ่งพิงการออกกำลังกายเเละการหายใจให้ลึกๆเป็นหลัก เพื่อเขย่ากระตุ้นการไหลเวียนน้ำเหลืองด้วยการขยับกล้ามเนื้อ เเละกระบังลม󾁎󾁅󾁉󾁀󾁎

󾭵การเต้นกระโดดบน trampoline ดูจะเป็นวิธีการที่กระตุ้นน้ำเหลืองได้ทั่วร่างกาย หากเต้นไม่ได้ก็อาจใช้วิธี กัวช่า (Gua Sha) การนวดด้วยน้ำมัน การ นวดเเผนไทย󾁉󾁀󾁎󾁅󾁉

󾭵ใครก็ตามที่มักมีอาการ ผิวซีด ซูบซีด หลงๆลืมๆ ติดเชื้อบ่อยๆ เป็นหวัดเจ็บคอ. เสมอๆ เริ่มมีเซลลูไลท์เพิ่มมากขึ้น ให้สงสัยระบบน้ำเหลืองติดขัด ไหลเวียนไม่ดี ทั้งนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยากนักเพราะของเสีย ขยะมีพิษ ตกค้างสะสมนั่นเอง󾁎󾁅

󾭵อย่าละเลยอาการน้ำเหลืองติดขัด โดยไม่ได้รักษาเพราะ นานวันเข้าพิษร้ายอาจทำให้ล้มหมอนนอนเสื่อด้วยมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง
    
     󾁎󾁅󾁉󾁀󾁎󾁅󾁉

󾮜เขียนโดย Dr. Kimberly Kaye Castaneda

󾁉󾮗󾁉󾁅󾁎󾮗󾁎󾔐

ดูวิธีแกว่งแขนของ
อ.หลี่เฟิ่งซัน  ฟังไม่ออกไม่เป็นไร ให้ดูท่าสาธิตของอาจารย์ ใช้เวลาเพียงนาทีกว่าแต่มีประโยชน์มาก
พยายามแกว่งทุกวันๆละ10นาที ช่วยรักษาโรคต่างๆหายได้อย่างไม่น่าเชื่อเป็นร้อยชนิด ไม่ต้องหาหมอ ไม่ต้องทานยา
http://youtu.be/_iQj_P896t8

อันนี้ข้อมูลดี 1.2 ล้านวิวเลยเปิดดู
http://www.youtube.com/watch?v=RHTUoQep-vw&sns=em

แกว่งแขน ภาษาไทย
http://www.youtube.com/watch?v=buI0ITBCKP0&sns=em