วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

ล่อยชีวิตไปตามลิขิตกรรม

"ปล่อยชีวิตไปตามลิขิตกรรม" วันหนึ่งท่านว่ายทวนน้ำได้อธิบายเกี่ยวกับการปล่อยชีวิตไปตามลิขิตกรรมให้ฟังว่า ว่ายทวนน้ำ : คุณรู้ไหมว่าหลักการบำเพ็ญที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือ "ให้ปล่อยชีวิตไปตามลิขิตกรรม" แต่คนไม่ค่อยรู้กัน ถึงจะเคยได้ยินแต่ก็ไม่กล้าลองทำจริง ๆ หรือทำกันไม่เป็น ผม : แล้วจริง ๆ มันต้องทำยังไงครับ? ผมก็ทราบแต่เพียงคำสอนที่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" แค่นั้นเอง ว่ายทวนน้ำ : เอาจะเล่าให้ฟัง ตอนประมาณพรรษาสองฉันจะชอบเข้าไปนั่งในถ้ำตอนกลางคืน แต่ไม่ได้เข้าไปลึกนะห่างจากปากถ้ำประมาณ 10-20 เมตร ในถ้ำมีสัตว์มีพิษเยอะ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง ปรากฏว่าคืนหนึ่งฉันนั่งหลังพิงผนังถ้ำอยู่ฉันได้ยินเสียงร้อง "แต๊กๆๆ" มาอยู่ใกล้ ๆ ฉัน ผม : เสียงอะไรครับแต๊กๆๆ? ว่ายทวนน้ำ : งูจงอางจะร้องเสียงแบบนั้น แต่ถ้างูเห่าจะร้อง "ป๊อกๆๆ" บังเอิญตอนนั้นฉันไปนั่งขวางโพรงมันอยู่ โพรงมันอยู่ด้านหลังเหนือไหล่ซ้ายฉัน มันเห็นฉันนั่งขวางโพรงมันอยู่มันก็แผ่แม่เบี้ยออกมา ฉันเห็นปุ๊ปฉันมีความกลัวขึ้นมา แต่ทีนี้ฉันก็คิดว่าฉันจะปล่อยให้ร่างกายเป็นเรื่องของกรรม ถ้ามีกรรมก็โดนกัด ถ้าไม่มีกรรมไม่โดน ปัดให้เป็นเรื่องของวิบากกรรมเลย เอาเลยเชิญ ทีนี้พอฉันปัดทุกอย่างให้เป็นเรื่องของกรรมปุ๊ปจิตมันนิ่งเลยนะ ความกลัวมันดับหายเลย ไอ้จงอางก็แผ่แม่เบี้ยฟ่อ ๆ อยู่พักนึง ฉันก็ดูมันแบบไม่มีความรู้สึกกลัวอะไรเลยเพราะตอนนั้นจิตมันลงเชื่อกรรม 100% แล้ว มันขู่อยู่พักนึงมันก็เลื้อยขึ้นมาบนตัวฉันพาดไปที่ไหล่ซ้ายเข้าโพรงไปลอกคราบ แล้วฉันก็รอดมาได้ไม่ถูกงูกัด นี่แหละคือการ "ปล่อยชีวิตไปตามลิขิตกรรม" ถ้าปล่อยได้จริงจะเป็นการยกระดับจิตขั้นสูง มันจะเห็นเลยว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความคิดเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของจิต กรรมเป็นเรื่องของกาย แต่จิตเป็นเรื่องของว่าง ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นหลายรูปได้อะไรดี ๆ จากเหตุการณ์แบบนี้เยอะมากตอนเจอช้างป่า เจอหมี เจออสรพิษ ท่านจะปัดลงกรรมเลย เอาเลยถ้ามีกรรมกูโดน ไม่มีกรรมกูไม่โดน ถ้าผ่านตรงนี้ได้มันเห็นสภาวะของจิตสว่างเลย ความกลัวตายดับเลย ผม : โห จะมีสักกี่คนที่กล้าทำแบบนี้ครับ? ว่ายทวนน้ำ : คือจริง ๆ ในชีวิตประจำของคุณที่อยู่ทางโลกคุณก็ทำได้เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเชื่อกรรมกันจริง อย่างคราวก่อนฉันทดสอบคนนึง เขาเอาเงินมาให้ฉันหลายหมื่นฉันก็วางมันทิ้งไว้บนโต๊ะนั่นแหละ ไม่เก็บให้ลับตาแล้วฉันก็บอกเขาว่า "ไป ออกไปข้างนอกกัน" ฉันเดินออกมาแล้ว แต่เขาพยายามจะเอาเงินเก็บเข้าตู้ จะล๊อกกุญแจบ้านให้ดีเพราะกลัวเงินจะหาย ฉันบอกว่า "ฮ้ายยย เงินมันรู้เรื่องมั้ยน่ะ? เงินมันไม่รู้เรื่องอะไรเลย มีแต่ความคิดของคุณเท่านั้นที่บ้ากับมัน กลัวมันหาย กลัวมันโดนขโมย หัดปล่อยชีวิตไปตามดวงบ้างสิ ถ้ามีกรรมก็หาย ไม่มีกรรมไม่หาย" เขาก็งงว่าทำไมฉันสอนแบบนี้ ก็ไม่แปลกที่เขาจะงง เพราะคำสอนทางโลกน่ะจะสอนให้ระมัดระวังให้มากที่สุด เก็บให้ดี ทำอะไรต้องเซฟตี้ที่สุด แต่ในทางธรรมคุณต้องไม่ต้องคิดอะไร ให้ดับความคิดที่มีต่อทุกสิ่ง ให้อยู่แบบปราศจากความวิตกกังวลต่อสิ่งต่าง ๆ ให้มากที่สุด อุบายการปล่อยชีวิตไปตามลิขิตกรรมนี่แหละตัวสำคัญ เพราะมันจะช่วยให้ดับความวุ่นวายในจิตได้เยอะมาก และถ้าเชื่อกรรมได้จริงจิตคุณจะยกระดับเร็วมาก นี่เคล็ดลับของการภาวนาเลย ตั๊กม้อถึงวางไว้ให้เป็นข้อ 1 ของหลัก 4 ประการในการบำเพ็ญ ผม : ผมเข้าใจมาตลอดว่าถ้าเราระมัดระวังดีแล้ว เช่น เอาทองไปเก็บในเซฟธนาคารยังไงก็ไม่หายแน่นอน ว่ายทวนน้ำ : ถ้าจังหวะวิบากกรรมมาถึงมันจะมีเหตุให้หายหรือสูญเสียครับ ต่อให้อยู่ในเซฟธนาคารก็ช่วยไม่ได้ คุณก็น่าจะเคยเห็นข่าวนี่ บางทีเงินอยู่ในบัญชีธนาคารแท้ ๆ หายไปไหนไม่รู้ ถูกโอนไปบัญชีอื่น ถูกเจ้าหน้าที่ธนาคารยักยอก ของอยู่ในตู้เซฟบางทีก็โดนเอาไปได้ลงข่าวเยอะแยะ ดังนั้น การพยายามปกป้องรักษาสิ่งของรักษาชีวิตของคุณน่ะไม่เกินกรรมหรอก มันเปลี่ยนวิบากกรรมไม่ได้ คุณเคยเห็นไหมบางคนสูบบุหรี่ทั้งชีวิต กินเหล้าทั้งชีวิตไม่เป็นมะเร็ง แต่คนที่รักษาสุขภาพอย่างดี กินอาหารชีวจิต ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อยู่ดี ๆ กลายเป็นโรคร้าย อยู่ดี ๆ ตรวจเจอมะเร็งขั้นสุดท้ายก็มี บางทีเกิดอุบัติเหตุตายหรือพิการก็มี คือการพยายามดูแลรักษาสุขภาพจนเกินเหตุคิดว่าจะเปลี่ยนเวลาตายได้นั่นก็คือการไม่เชื่อกรรมประการหนึ่งครับ ถ้าถึงคราววิบากกรรมมาถึงต่อให้คุณดูแลรักษาร่างกายดีแค่ไหนยังไงก็ตาย ยังไงก็โดน วิบากกรรมใหญ่กว่าความดิ้นรนพยายามรักษาร่างกายของคุณครับ ยิ่งบ้าดูแลรักษาสุขภาพมากเท่าไหร่นั่นแหละยิ่งเป็นการไม่เชื่อกรรมมากเท่านั้น และจิตจะยกระดับขั้นสูงไม่ได้ เรื่องเชื่อกรรมนี่สำคัญมาก ผม : แล้วแบบนี้เวลาผมเดินข้ามถนนผมไม่ต้องดูรถซ้ายขวาเลยหรือครับ? ว่ายทวนน้ำ : ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ดูไปตามปกติแต่ไม่ต้องวิตกกังวลอะไร อย่าโอเว่อร์ในการดูเกิน ไม่ต้องพยายามจะปกป้องอะไรมากเกินไปกว่าทำอะไรไปปกติธรรมชาติ คือถ้าคุณมีกรรมนะต่อให้คุณดูรถซ้ายขวาดีแล้วแค่ไหนมันจะเหตุให้คุณโดนครับ เช่น ไอ้รถเลนอื่นมันยางแตกพอดีวิ่งออกนอกทางมาชนคุณซึ่งไม่ได้อยู่ในเลนมัน บางทีไอ้รถคันหลังมันแซงขึ้นมาพอดีมันไม่เห็นคุณ คุณก็ไม่เห็นมันแล้วก็ชนเข้าให้ กรรมมันจะดลให้คุณโดนแม้ว่าคุณจะระวังดีแล้ว ผม : แล้วถ้าอย่างผมเจ็บป่วยนี่ผมไม่ต้องไปรักษาเลยหรือครับ? ว่ายทวนน้ำ : ถ้าคุณหมดกรรมมันจะมีเหตุให้หายไปเองครับ เช่น อย่างหลวงปู่ชาเคยเป็นมาเลเรียหนักมากท่านก็ไม่รักษา คือกายจะป่วยช่างมันกูไม่สน กูจะปล่อยให้กรรมเป็นเรื่องของกาย ส่วนจิตกูจะไม่ออกจากความว่าง ความเจ็บป่วยแค่นี้ลวงให้กูออกจากความว่างไม่ได้ ลวงให้เกิดความวิตกกังวล ลวงให้เกิดความกลัวตายไม่ได้หรอก แล้วก็กลายเป็นว่าท่านหายจากมาเลเรียเอง แล้วท่านก็ได้อะไรดี ๆ กลับมาจากการปล่อยชีวิตไปตามลิขิตกรรม ท่านรักษาจิตอย่างเดียว กายปล่อยเป็นเรื่องของกรรม ถ้าคุณเจ็บป่วยต่อคุณไม่ดิ้นรนรักษามันจะมีเหตุการณ์มาบีบให้หายครับถ้าหมดกรรม เช่น บีบให้เจอหมอถูกคน ถ้าแต่ไม่หมดกรรมหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่หาย บางทีตรวจไม่เจอด้วยว่าเป็นอะไร อย่างหลวงตามหาบัวตอนนั้นเป็นมะเร็งหนักมากท่านเตรียมงานศพตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่ปรากฏมีหมอจีนคนนึงปรากฏตัวขึ้นและเอายาจีนมาให้ท่านก็บอกว่าจะขอลองเป็นตัวสุดท้าย ปรากฏพอกินแล้วเฮ้ยมันหาย เนี่ยคือลักษณะของจังหวะหมดวิบากมันจะมีเหตุการณ์มาดลๆๆ แล้วก็ทำให้หาย ดังนั้น สำหรับนักภาวนาขอให้นำเรื่องการ "ปล่อยชีวิตไปตามลิขิตกรรม" นี้มาใช้ให้มาก ปล่อยทั้งชีวิตของตัวเองและชีวิตของผู้อื่นไปตามลิขิตกรรม ความวุ่นวายทางจิตจะดับลง มันจะหยุดเสือก หยุดเมตตา หยุดหวังดี หยุดวิตกกังวล หยุดกลัวตาย หยุดอะไรอีกเยอะแยะมากมาย นั่นแหละคือการดับความวุ่นวายทางจิต นั่นแหละคือการ "หยุดคิด" ยิ่งดับความวุ่นวายทางจิตได้มากเท่าไหร่ คุณก็อยู่กับความว่างมากเท่านั้น อยู่กับจิตเดิมแท้มากเท่านั้น อยู่กับ "ถ้วยไร้ชา" มากเท่านั้น แหละจิตก็จะยกระดับเข้ากระแสอริยบุคคลได้เร็วมากถ้าเชื่อกรรมจริงเข้ากระแสโสดาบันไปประมาณ 50% แล้ว จึงเป็นเรื่องที่นักภาวนาจะมองข้ามไม่ได้ในเรื่องของ "การปล่อยชีวิตไปตามลิขิตกรรม"

สมถะหรือสมาธิ และวิปัสสนาหรือปัญญานี้เป็นสิ่งเดียวกัน

สมถะหรือสมาธิ และวิปัสสนาหรือปัญญานี้เป็นสิ่งเดียวกัน นี่ก็เป็นเรื่องง่ายๆ นี่เอง สมาธิ (สมถะ) และปัญญา (วิปัสสนา) นี้ ต้องควบคู่กันไป เบื้องแรกจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่ได้โดยอาศัยอารมณ์ภาวนา จิตจะสงบตั้งมั่นอยู่ได้เฉพาะขณะที่ท่านนั่งหลับตาเท่านั้น นี่คือสมถะและอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐานช่วยให้เกิดปัญญา หรือวิปัสสนาได้ในที่สุด แล้วจิตก็ จะสงบไม่ว่าท่านจะนั่งหลับตาอยู่หรือเดินอยู่ในเมืองวุ่นวาย เปรียบเหมือนกับว่า ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นเด็ก บัดนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่ แล้วเด็กกับผู้ใหญ่นี้เป็นบุคคลคนเดียวกันหรือเปล่า ท่านอาจจะพูดได้ว่าเป็น คนคนเดียวกัน หรือถ้ามองอีกแง่หนึ่งท่านก็อาจจะพูดได้ว่าเป็นคนละคนกัน ในทำนองเดียวกัน สมถะกับวิปัสสนา ก็อาจจะพูดได้ว่าเป็นคนละเรื่องกัน หรือเปรียบเหมือนอาหารกับอุจจาระ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนละสิ่งกัน อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่ผมพูดมานี้ จงฝึกปฏิบัติต่อไป และเห็นจริงด้วยตัวของท่านเอง ไม่ต้องทำอะไร พิเศษไปกว่านี้ ถ้าท่านพิจารณาว่าสมาธิและปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไรแล้ว ท่านจะรู้ความจริงได้ด้วยตัวของท่านเอง ทุกวันนี้ผู้คนไปยึดมั่นอยู่กับชื่อเรียก ผู้ที่เรียกการปฏิบัติของพวกเขาว่า “วิปัสสนา” สมถะก็ถูก เหยียดหยามหรือผู้ที่เรียกการปฏิบัติของพวกเขาว่า “สมถะ” ก็จะพูดว่าจำเป็นต้องฝึกสมถะก่อน วิปัสสนา เหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระ อย่าไปวุ่นวายคิดถึงมันเลย เพียงแต่ฝึกปฏิบัติไป แล้วท่านจะรู้ได้ด้วย ตัวท่านเอง หลวงพ่อชา สุภัทโท

บุญแท้ กุศล

บุญแท้ๆหรือกุศลนั้นเกิดที่ใจเรา ไม่ได้เกิดจากสมองความคิดเราที่พรํ่าร้องบนบาน คนเราชาวพุทธเข้าใจผิดกันไปมาก ที่ไปรํ่าร้องขอ ทําบุญโดยสร้างเงื่อนไขอยากมีอยากได้ ทําแล้วขอให้ได้ไปสวรรค์ให้ได้รํ่ารวย ทําเหตุไว้ดีผลที่เกิดนั้นย่อมต้องดีอยู่แล้ว ทําความดีย่อมต้องได้ดีอยู่แล้วจิตนั้นเป็นกุศลอยู่แล้ว ไม่จําเป็นต้องไปร้องขอไปทําให้จิตเจือไปด้วยอกุศลเลย มันกลายเป็นการทําบุญเพื่อจะเอา ทําบุญแล้วจะเอาสวรรค์วิมาน เป็นพวกเมาบุญ ใจที่น้อมนําปิติไปกับบุญสุขที่ใจนั้นหล่ะได้กุศลแล้ว กุศลผุดขึ้นมาที่ใจเราที่ตรงอก ใจเราน้อมนําไปที่การเสียสละการละออกยินดีในสิ่งที่ได้ทําความดีนั้นๆ แล้วหากกระทําด้วยใจที่ว่าง แม้เราจะว่างแค่แว๊ปเดียวก็เป็นมหากุศล เพราะใจที่ว่างนั้นเป็นจิตของพระอรหันต์ ไม่ใช่จิตที่ชุมไปด้วยความโลภที่เฝ้าเอาแต่ร้องขอ การร้องขอด้วยจิตที่เป็นไปด้วยความโลภเป็นจิตแห่งเปรตภูมิ กุศลหรืออกุศลล้วนเกิดขึ้นที่ใจเรา จิตเราจับได้ทีละอย่าง หากจิตจับยึดในอกุศลอยู่ กุศลนั้นจะเกิดกับใจเราได้อย่างไร เพราะกุศลกับอกุศลนั้นเปรียบดังความมืดกับสว่างที่ไม่เกิดพร้อมกัน