วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2562

แสงสีรุ้งจากพระปั



แยกกาย แยกใจ

แยกกายแยกใจได้ ใจจึงจะแยกออกมาเป็นผู้ดูกายได้ และเมื่อใจดูกายได้ ใจเราจะค่อยๆเห็นความจริงของกาย เป็นการเจริญปัญญาญาณ

ตัวปัญญาญาณจะไปละความยึดมั่นถือมั่นในกาย เพราะเห็นว่ากาย ไม่ใช่เรา , วิธีการ ให้หมั่นเห็นรู้สึกตัวที่กายบ่อยๆ หรือรู้ลมหายใจ รู้สึกตัวบ่อยๆ เมื่อเราดูกายบ่อยๆ เราจะเห็นกายแยกออกไปเอง

การเดินจงกรมก็จะช่วยให้แยกได้ง่ายขึ้นเร็วขึ้น เพราะการรู้สึกตัวดูกายขณะกายขยับ จะเห็นกายได้ง่ายได้ชัด โดยใจเรามาเป็นผู้ดูกาย ดูกายเดิน ดูกายขยับ ทําอย่างนี้ จะค่อยๆเห็นกายแยกออกไป

ลองเดินเหมือนกับว่าเราไม่ได้เป็นคนเดิน แต่ใจเราเป็นผู้ดู กายเดิน กายส่วนกาย ใจส่วนใจ ให้ทําสบายๆ อย่าไปเพ่งอย่าไปเกร็ง ทําสบายๆหลวมๆ ดูกายมันขยับดูกายมันเดิน ทําแบบนี้ จะเห็นมันแยกไปเองในที่สุดครับ

ภาพ วัดดอนทราย จ.ราชบุรี

การสร้างกำลังสติ

การจะเจริญอานาปานสติให้เกิดผลกับใจตนเองก้าวหน้าง่ายๆนั้น ไม่ใช่ทําแต่สมาธิอย่างเดียวจะเกิดได้ยาก ต้องใช้เวลามาก

แต่ทางลัดนั้นมี ให้หมั่นเจริญสติรู้สึกตัวบ่อยๆ เพราะสติเป็นตัวกํากับใจ ต้องใจที่รู้สึกตัวมีสติจึงจะเกิดสมาธิตั้งมั่นได้ ถ้าใจไม่รู้สึกตัว มันก็ขาดสติเผลอ

เผลอที่หลุดกันมี 2 อย่างคือ เผลอเพ่งจรดจ่อมากเกิน กับ เผลอเพลินไหลไม่รู้ตัว

แต่ไม่ว่าเผลออะไรก็เกิดเพราะขาดสติรู้สึกตัวทั้งนั้น ไปสังเกตุดู พระอรหันต์หลายท่านชอบเดินจงกรมกัน ควบคู่ไปกับการทําสมาธิ เพราะการเดินจงกรมเป็นการสร้างสติความรู้สึกตัว ไปกับการเดิน

เมื่อสติมีกําลังขึ้นมา จึงมาช่วยใจให้เกิดสมาธิจิตตั้งมั่น เกิดเป็นสมาธิได้อย่างง่ายๆ สัมมาสติกับสัมมาสมาธินั้นดุจดังเท้าซ้ายและขาว ที่ผลัดกันหนุนให้เกิดความก้าวหน้า

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562

นิมิตร คือ ดาบ 2 คม

นิมิต คือ ดาบ ๒ คม

สมัยหนึ่งท่านพ่อป่วยรักษาตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วพักที่วัดอโศการาม มีคณะอุบาสิกามาฝึกภาวนากับท่านทุกคืน

คืนวันหนึ่งมีอุบาสิกาคนหนึ่งปรารภกับท่านว่า ขณะที่นั่งภาวนานั้นก็รู้ตัวว่าใจไม่ได้วอกแวกไปไหน อยู่กับลมตลอดเวลา แต่ทำไมไม่มีนิมิตเหมือนเขาทั้งหลาย ทำให้รู้สึกน้อยใจเหมือนกัน

ท่านพ่อก็บอกว่า

“โยมโชคดีรู้หรือเปล่า คนที่มีนิมิตเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามารบกวนอยู่เรื่อย ส่วนโยมไม่มีกรรมอะไรมาตัดรอน ทำใจได้เลย ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องภายนอก
ไม่ต้องไปอัศจรรย์พวกที่เขามีนิมิตหรอก นิมิตก็คือฝันนั้นเอง ที่จริงก็มี ไม่จริงก็มี เอาแน่นอนไม่ได้"

โยมคนหนึ่งนั่งฟังคนอื่นพูดกันว่า การนั่งสมาธิโดยไม่มีนิมิตคือทางสายตรง พอดีโยมคนนั้นมีนิมิตบ่อยๆ จึงเกิดสงสัยว่า

“ทำไมทางเราขดๆ เคี้ยวๆ" เมื่อไปถามท่านพ่อ ท่านก็ตอบว่า

“เรามีนิมิตก็เหมือนเรามีผักตำลึงที่งามๆ อยู่ริมทาง เราก็เดินไปเราก็เก็บไปบ้าง เพื่อมีของกินข้างหน้า เราก็ถึงเหมือนกันส่วนเขาอาจจะเห็นแต่ไม่เก็บ หรืออาจจะไม่เห็นก็ได้เพราะทางเขากันดาร”

“นิมิต หรือสิ่งที่มาปรากฏให้เราเห็นเวลาภาวนาจิตสงบไม่ใช่ว่าจะไม่ให้สนใจเอาเสียเลย เพราะมีนิมิตบางอย่างเราก็ต้องสนใจบ้าง ฉะนั้น เมื่ออะไรมาปรากฏ บางครั้งเราก็ต้องดูว่าปรากฏทำไม เพราะอะไร เพื่ออะไร”

คนที่มีนิมิต ดาบ ๒ คม อยู่ในมือ ต้องใช้ให้ดี สิ่งที่เข้ามาประโยชน์มันก็มี โทษมันก็มี ฉะนั้น เราต้องรู้จักคั้น เอาแต่ประโยชน์จากเขา”

ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก
จากหนังสือยาใจ อนุสรณ์พระครูญาณวิศิษฏ์